ค้นหา :

สรุปข่าวประจำสัปดาห์ (17-20 ธ.ค. 2561)
สรุปข่าวประจำสัปดาห์ (17-20 ธ.ค. 2561)
PICTURE
แหล่งที่มา : สำนักข่าว
วันที่ข่าว : 21 ธันวาคม 2561
สรุปข่าวประจำสัปดาห์ (17-20 ธ.ค. 2561)

มติคณะรัฐมนตรี

18 ธ.ค. 61

นายกรัฐมนตรี ชวนคนสวดมนต์ข้ามปีและขอให้ส่งเสริมคนไทยรักการอ่านหนังสือ

ก่อนการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.และประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เยี่ยมชมบูธกิจกรรมของกระทรวงวัฒนธรรม “สวดมนต์ข้ามปี ถวายเป็นพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วโลก” ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2561 ถึงวันที่ 1 มกราคม 2562

นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมบูธโครงการอ่าน สร้างชาติซื้อหนังสือลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งนายกรัฐมนตรี ขอให้ช่วยกันสนับสนุนการอ่านหนังสือ พร้อมขอให้หาหนังสือที่ดีแนะนำประชาชน เพื่อทำให้ธุรกิจหนังสืออยู่ได้ สนับสนุนการอ่านให้มากขึ้น

นายกรัฐมนตรีได้ ร่วมชมกิจกรรมประชาสัมพันธ์โครงการ“ROAD SHOW” เทศกาลข้าวไทย 2561 (THAI RICEFESTIVAL 2018 ) โดยนายกรัฐมนตรีได้ทดลองตำข้าว เพื่อใช้ทำชาข้าวเปลือก ก่อนชิมชาและข้าวเม่าโบราณ พร้อมแนะนำให้หานวัตกรรมใหม่มาใช้ ยกระดับราคาสินค้าเสริมด้วยการจำหน่ายผ่านออนไลน์

นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมการแสดงผลงานจากผู้ประกอบการสตาร์ทอัพสาย Deep Tech ด้านสุขภาพและการแพทย์ โดยนายกรัฐมนตรีได้สวมแว่น 3 สามมิติและบังคับหุ่นยนต์ถือกล้องผ่าตัด รุ่นที่ 2 เยี่ยมชมเครื่องลดอุณหภูมิอากาศด้วยเทคนิคการระเหยน้ำเย็นเป็นเครื่องปรับอากาศด้วยลมเย็น นายกรัฐมนตรีย้ำว่าการใช้นวัตกรรมจะเป็นส่วนช่วยสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการให้บริการต่างๆ

8 หน่วยงาน พร้อมใจมอบของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนผ่านบริการช่องทางของแต่ละกระทรวง

พันเอกหญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปีใหม่ผ่านบริการช่องทางของแต่ละกระทรวง เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2562 ให้กับประชาชน

กระทรวงสาธารณสุข จัดทำโครงการบูรณาการหน่วยงานเคลื่อนที่ดูแลประชาชน เพื่ออุทิศถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ถวายเป็นพระราชกุศลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โครงการจัดทำบัตรสมาร์ทการ์ดอาสาสมัครสาธารณสุข(อสม.)

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นำเสนอบริการระบบตรวจสอบสิทธิ์เพื่อเข้าใช้บริการอินเทอร์เน็ตสาธารณะ โดยประชาชน สามารถเข้าใช้ระบบอินเทอร์เน็ตสาธารณะด้วย username และ Password ได้ทั่วประเทศ โครงการช้อปซอฟต์แวร์ลดหย่อนภาษี 200% มูลค่าสูงสุด 10,000 บาทต่อราย การทดลองใช้บริการเรียกเก็บเงินปลายทาง การเปิดให้บริการ Open House ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาค ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถเข้าชมได้โดยไม่ต้องทำหนังสือ หรือเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ระหว่างวันที่ 1-14 มกราคม 2562

กระทรวงแรงงาน ขยายสิทธิลูกจ้างชั่วคราว จำนวน 11,500,000 คน เพิ่มอัตราค่าทดแทนร้อยละ70 ของค่าจ้างรายเดือน เพิ่มระยะเวลาการจ่ายค่าทดแทนกรณีลูกจ้างทุพพลภาพเป็นไม่น้อยกว่า 15 ปี เพิ่มระยะเวลาการจ่ายค่าทดแทนกรณีลูกจ้างเสียชีวิตหรือสูญหายเป็น 10 ปี และเพิ่มค่าทำศพแก่ผู้จัดการศพของลูกจ้างเป็นจำนวน 40,000 บาท พร้อมจัดทำบริการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตทาง YouTube กว่า 174 เรื่อง โดยจัดให้มีวิดีทัศน์เพื่อการเรียนรู้ หรือฝึกอบรมออนไลน์ด้วยตนเองทุกที่ทุกเวลาผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเว็บไซต์ของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานและสมัครเข้ารับการพัฒนาทักษะ 4.0 จำนวน 286 หลักสูตร

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบโครงการชลประทานขนาดเล็ก จำนวน 6 โครงการ ปรับปรุงโครงการชลประทานและก่อสร้างแหล่งน้ำในไร่นานอกเขตชลประทาน โดยมีเกษตรกรได้รับประโยชน์ กว่า 51,600 คน 17,500 ครัวเรือน จัดจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์การเกษตรจุดจำหน่ายของหน่วยงานต่างๆ และในตลาดออนไลน์ เพื่อให้เกษตรกรได้รับผลประโยชน์สูงสุด รวมไปถึงเปิดสถานที่ราชการ ปรับภูมิทัศน์รองรับนักท่องเที่ยว และเปิดแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรปศุสัตว์และพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ให้ประชาชนเข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอีกด้วย พร้อมเปิดจุดให้บริการผ่านจุดบริการต่างๆ กว่า 160 จุดในพื้นที่ 76 จังหวัด

กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมการกงสุล เปิดบริการพิเศษให้บริการเอกสารแปลสำเร็จรูปก่อนการรับรองนิติกรเอกสาร เพื่อลดภาระของประชาชน และให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการดำเนินการ สั่งให้บริการเป็นระยะเวลา 3 เดือน (มกราคมถึงมีนาคม 2562) ทั้งนี้ประชาชนเจ้าของเอกสารต้องมายื่นและกรอกคำร้องด้วยตัวเอง โดยมีค่าบริการส่งเอกสารทางไปรษณีย์จำนวน 60 บาท

กระทรวงวัฒนธรรม เชิญชวนประชาชนทุกพื้นที่รักษาศีลจิตภาวนาปฏิบัติธรรมและสวดมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลทั่วประเทศ ในวันที่ 29 ธันวาคม 2561 ถึง 1 มกราคม 2562 รวมทั้งอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปสำคัญที่ประดิษฐานทั้งในและต่างประเทศจำนวน 13 ประเทศ จากลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ไปประดิษฐาน ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2561 ถึง 1 มกราคม 2562

ด้านศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. จัดทำหอเฉลิมพระเกียรติสถาบันพระมหากษัตริย์การพัฒนาชายแดนภาคใต้ ระยะที่ 1 และศูนย์ราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ตอนล่าง และส่งมอบโอกาสในชีวิตด้านการสร้างงานสร้างอาชีพกระจายรายได้ ภายใต้พัฒนาเศรษฐกิจไร้รอยต่อผ่านโครงการประมงสันติสุข เพื่อเร่งขยายพื้นที่อนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลนเพิ่มพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและแก้ปัญหาการทำประมง พร้อม เร่งผลักดันกิจกรรมหลักโครงการเมืองต้นแบบสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน พร้อมเร่งรัดก่อสร้างและเตรียมความพร้อมสนามบินเบตง จังหวัดยะลา ให้สามารถเปิดดำเนินการในวันที่ 1 มกราคม 2563 เร่งยกระดับพื้นที่เศรษฐกิจ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เชื่อมโยงสู่การพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้

ด้านสำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการร่วมกับสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินโครงการพัฒนาระบบการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ (Biz Portal) ผ่านช่องทางออนไลน์

ครม.อนุมัติมาตรการอั่งเปา รณรงค์คนไทยลดใช้เงินสด คืนภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT) ร้อยละ 5

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในอัตราร้อยละ 5 สำหรับการใช้จ่ายในช่วงวันที่ 1-15 ก.พ. 2562 เพื่อเป็นของขวัญวันตรุษจีนให้กับประชาชนทั่วไป ที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตและลงทะเบียนพร้อมเพย์ ที่ซื้อสินค้าและบริการ ไม่รวมสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิต อาทิ เหล้า บุหรี่ โดยมีวงเงินการซื้อสูงสุดไม่เกิน 20,000 บาท จะได้รับการโอนเงินคืนผ่านระบบพร้อมเพย์จำนวน 1,000 บาท

ซึ่งมาตรการดังกล่าวเป็นการส่งเสริมระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ของรัฐบาลและยังเป็นการใช้เงินปัจจุบัน ไม่ใช่เงินอนาคตและผลประโยชน์จะตกกับคนไทยที่ไม่ใช่ต่างชาติที่เป็นตัวกลางชำระเงินบัตรเครดิตด้วย

ทั้งนี้คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีราว 9,240 ล้านบาท โดยข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ณ ปัจจุบันมีจำนวนผู้ลงทะเบียน prompt pay อยู่ที่ 39 ล้านคน ผูกกับบัตรประชาชน 26.7 ล้านคน และผูกกับหมายเลขมือถือ 12.3 ล้านคน

ครม.เห็นชอบตั้งคณะกรรมการลดความเหลื่อมล้ำ ดูงานนโยบายแก้ไขช่องว่างทั้งระบบ

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบูรณาการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและแก้ไขปัญหาความยากจน พ.ศ. ... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)เสนอ

โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายลดความเหลื่อมล้ำและแก้ไขปัญหาความยากจน(กนล.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมาย เป็นรองประธานกรรมการ กรรมการโดยตำแหน่งจำนวน 15 คนและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งไม่เกิน 3 คน โดยมีเลขาธิการ สศช. เป็นกรรมการและเลขานุการ

คณะกรรมการชุดนี้มีหน้าที่และอำนาจในการกำหนดกรอบนโยบายยุทธศาสตร์ วางแนวทาง หลักเกณฑ์ วิธีการดำเนินการบูรณาการ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและแก้ไขปัญหาความยากจนในทุกมิติ คือ ส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี กำกับติดตาม ประเมินผลการดำเนินงาน ออกประกาศและคำสั่ง เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบ

พร้อมกันนี้กำหนดให้มีคณะกรรมการบริหารการลดความเหลื่อมล้ำและแก้ไขปัญหาความยากจน(กบล.) มีอำนาจและหน้าที่ในการกำหนดกฎออกตัวชี้วัดด้านความเหลื่อมล้ำทางสังคมของประเทศเสนอหลักเกณฑ์และแผนปฏิบัติในการบูรณาการพิจารณากลั่นกรองแผนงานและงบประมาณ ที่ปัจจุบันมีการใช้งบประมาณจากหน่วยงานต่างๆ รวมกันราว 8 หมื่นล้านบาทต่อปี ในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำและกำหนดให้มีการจัดตั้งสำนักงานบูรณาการลดความเหลื่อมล้ำและแก้ไขปัญหาความยากจนเป็นหน่วยงานภายใน สศช.

ครม. เห็นชอบกฎหมายดิจิทัล 2 ฉบับ ป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์

นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แถลงว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เห็นชอบกฎหมายดิจิทัล จำนวน 2 ฉบับ ประกอบด้วย ร่างพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งมีความสำคัญเพราะจะเป็นกลไกเฝ้าระวัง ป้องกัน รับมือและลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ ที่ขณะนี้ทั่วโลกให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีการโจมตีทางออนไลน์พยายามเข้าถึงระบบและข้อมูลส่วนตัวของประชาชน

โดยการเฝ้าระวังภัยคุกคามดังกล่าว มีทั้งระบบสาขาและระบบความมั่นคงของรัฐ มีกำหนดภัยคุกคามเป็น 3 ระดับ คือ ระดับเฝ้าระวังในภาวะความเสียหายที่ไม่มาก ระดับความร้ายแรง และระดับวิกฤตทั่วประเทศ โดยมีแนวปฏิบัติและมาตรการป้องกันที่ชัดเจน รวมถึงจะจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ อีกทั้งในปี 2562 จะมีการซ้อมแผนรับมือภัยคุกคามไซเบอร์ระดับอาเซียนด้วย เพื่อสร้างความร่วมมือและการเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็ว

นอกจากนี้ ครม.ยังเห็นชอบ ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยเน้นดูแล 3 รูปแบบ คือ เจ้าของข้อมูล ผู้ควบคุมข้อมูลและผู้ประมวลผลข้อมูล ซึ่งความสำคัญของการจัดระบบนี้คือป้องกันการนำข้อมูลไปใช้โดยไม่ยินยอม โดยกำหนดว่าระบบออนไลน์ต่างๆ ต้องขอความยินยอมในการเข้าถึงข้อมูลก่อนเสมอและต้องระบุวัตถุประสงค์การใช้ข้อมูลอย่างชัดเจน เพื่อช่วยในการจัดระบบสังคมและไม่ให้นำข้อมูลส่วนบุคคลไปหาประโยชน์โดยเจ้าของไม่ยินยอมและที่สำคัญเจ้าของข้อมูลสามารถถอนความยินยอมได้ด้วย

ครม.แต่งตั้งพันตำรวจเอก บุญส่ง จันทรีศรี เป็นผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลคนใหม่ และรับทราบการโอนย้ายพลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด เป็นอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์

พันเอกหญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบแต่งตั้งพันตำรวจเอกบุญส่ง จันทรีศรี ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (สสร.) โดยกำหนดอัตราค่าตอบแทนคงที่ของผู้อำนวยการ สสร. ในอัตรา 290,000 บาทต่อเดือน ในระหว่างอายุสัญญา สสร.จะปรับขึ้นค่าตอบแทนคงที่ในวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี ในอัตราไม่เกินกว่าร้อยละ 10 ของค่าตอบแทนคงที่ที่ผู้รับจ้างได้รับ ทั้งนี้ โดยการปรับขึ้นค่าตอบแทนคงที่ตลอดอายุสัญญาจ้างจะต้องไม่มีผลให้อัตราค่าตอบแทนคงที่ที่ได้รับเกินกว่าอัตราขั้นสูงตามกรอบอัตราค่าตอบแทนคงที่ที่กระทรวงการคลัง ได้ให้ความเห็นชอบไว้

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ยังรับทราบมติคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) ซึ่งได้อนุมัติรับโอน พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด ข้าราชการทหาร ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก กระทรวงกลาโหม มาบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์

ครม. อนุมัติเปิดตลาดโควตานมผงขาดมันเนย ปี 2561 เพิ่มเติม 5,795.82 ตัน

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า คณะรัฐมนตรี มีมติอนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอเปิดตลาดโควตานมผงขาดมันเนยปี 2561 เพิ่มเติม ซึ่งปกติประเทศไทยได้รับโควตาหรือการเปิดตลาดนำเข้าตามกรอบองค์กรการค้าโลก (WTO) และความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย ซึ่งทางไทยได้รับโควตาการนำเข้าของผลิตภัณฑ์นมผงขาดมันเนยอยู่ที่ประมาณ 58,011.58 ตันในปี 2561 แต่เนื่องด้วยโควตาปี 2561 ที่กล่าวมา ไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ประกอบการจึงขออนุมัติโดยผ่านคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ตั้งแต่เมื่อปลายเดือนตุลาคม จึงขออนุมัติให้เปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย ปี 2561 เพิ่มเติม ปริมาณ 5,795.82 ตัน ในอัตราภาษีร้อยละ 5 โดยจัดสรรให้กับผู้ประกอบการที่มีความจำเป็นและเดือดร้อนจากการขาดแคนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต อย่างไรก็ตาม ได้สอบถามทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่าการเพิ่มโควตาอีก 5,000 ตัน ต้องคำนึงไม่ให้กระทบต่อราคาน้ำนมดิบหรือราคาที่กระทบเกษตรกรโคนมหรือผู้ประกอบการแปรรูปนมที่มีอยู่เดิม ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ยืนยันว่าการเพิ่มโควตา 5,000 กว่าตันในครั้งนี้ จะไม่กระทบกับผู้ประกอบการแปรรูปนม รวมถึงเกษตรกรโคนม

การเมือง/มั่นคง

17 ธ.ค. 61

สั่งทุกเหล่าทัพ เกาะติดสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้และเร่งเข้าช่วยเหลือประชาชน

พลโท คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการให้ทุกเหล่าทัพและนำกำลังพลและเครื่องมือช่าง เร่งเข้าไปให้การช่วยเหลือเร่งด่วนแก่ประชาชนที่ประสบอุทกภัย จากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังแรงพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ มีประชาชนได้รับผลกระทบแล้วกว่า 15,000 ครอบครัว

พลเอก ประวิตร กำชับ ขอให้หน่วยทหารในพื้นที่ติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์ระดับน้ำในพื้นที่ และสนับสนุนฝ่ายปกครองและส่วนราชการในพื้นที่ พยายามเร่งเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่อย่างทั่วถึง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น

กกต.สรุปตัวเลขผู้ผ่านการเลือก ส.ว. ในระดับอำเภอ 5,899 คน

พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. แถลงสรุปตัวเลขผู้สมัคร ส.ว.ที่ผ่านการคัดเลือกในระดับอำเภอซึ่งคัดเลือกเมื่อวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา จำนวน 5,899 คน แยกเป็นเพศชาย 4,389 คน และเพศหญิง 1,510 คน โดยสมัครด้วยตัวเอง 5,410 คน สมัครผ่านองค์กรแนะนำ 489 คน

18 ธ.ค. 61

นายกรัฐมนตรี พอใจ ผลการทำงานตลอด 4 ปี แต่ต้องมีการติดตามการนำนโยบายสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พอใจผลงานของรัฐบาลในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา เพราะรัฐบาลเป็นผู้กำหนดนโยบายลงไปในพื้นที่ แต่ต้องติดตามการแปลงนโยบายสู่การปฏิบัติ โดยยอมรับว่าอาจมีปัญหาอยู่บ้างในบางจุด เพราะรัฐบาลได้แก้ปัญหาในหลายเรื่อง อย่างไรก็ตามเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม รัฐบาลก็จะเร่งสรุปผลการทำงานทั้งหมดให้ประชาชนได้รับทราบต่อไป

เลขาธิการ กกต. ยืนยัน บัตรเลือกตั้งจะมีทั้งหมายเลข ชื่อพรรคการเมือง และโลโก้ของพรรค แต่ต้องรอดูจำนวนผู้สมัครและพรรคการเมืองก่อน

พันตำรวจเอก จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. กล่าวว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้พิจารณากรณีบัตรเลือกตั้ง โดยมีมติให้คำนึงถึงการอำนวยความสะดวกกับประชาชนให้มากที่สุด รวมทั้งการบริหารจัดการของสำนักงาน ซึ่งได้ประสานทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง กรมการกงสุล ไปรษณีย์และสำนักพิมพ์ ซึ่งในบัตรเลือกตั้งจะมีหมายเลข ชื่อพรรคการเมือง และโลโก้ของพรรคในบัตรด้วย โดยจะต้องคำนึงถึงการขนส่งบัตรเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร รวมถึงการเลือกตั้งล่วงหน้า ทั้งในและนอกเขตด้วย ซึ่ง กกต. ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนการจัดพิมพ์บัตรเลือกตั้ง จะต้องรอดูว่าจะมีผู้สมัครจำนวนกี่คนและกี่พรรคการเมือง จึงจะสามารถดำเนินการจัดพิมพ์ได้

19 ธ.ค. 61

นายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นความร่วมมือของทุกหน่วยงานเพื่อจัดทำระบบ Big Data

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานและแสดงปาฐกถาพิเศษ ในพิธีลงนามในบันทึกความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในการสนับสนุน “การจัดทำข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อใช้กำหนดและติดตามประเมินผลการจัดสวัสดิการภาครัฐและการนำระบบบริหารจัดการข้อมูลแบบชี้เป้า (TPMAP) ใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน ระหว่างกระทรวงและหน่วยงานต่างๆ รวม 11 หน่วยงาน ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อนำสู่แนวทาง "สร้างสุขทุกช่วงวัยสวัสดิการแห่งรัฐ"

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าการจัดทำข้อมูล(Big Data) เป็นการทำงานบูรณาการทุกกระทรวง ทุกหน่วยงานของภาครัฐอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างความสุขให้กับทุกคน วันนี้ประชาชนมีหลายกลุ่ม รัฐบาลต้องดูแลสวัสดิการควบคู่กับแนวทางการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนทุกกลุ่ม ผ่านความร่วมมือของกว่า 70 หน่วยงาน โดยมีเป้าหมายสำคัญ ให้ไทยไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง ซึ่ง Big Data จะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อน เพราะจะทำให้ทราบข้อมูลต่างๆ เช่นข้อมูลมีผู้มีรายได้น้อย ที่อาจมีมากกว่าการลงทะเบียนไว้กับรัฐ ก่อนที่จะวางมาตรการสนับสนุนได้อย่างตรงจุด

แก้ปัญหาค้ามนุษย์ ย้ำตัดวงจร เข้มมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันเชิงรุก

พลโท คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ณ ศาลาว่าการกลาโหม โดยได้ร่วมกันพิจารณาขับเคลื่อนแก้ปัญหาและการจัดทำรายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ประจำปี 2561 เพื่อจัดส่งให้สหรัฐอเมริกา

โดยสรุปภาพรวมการดำเนินงาน จำนวนคดีค้ามนุษย์ในปี 2560 - 2561 มีแนวโน้มลดลง เมื่อเทียบกับปี 2558 - 2559 สถิติคดีด้านการบังคับใช้แรงงานเพิ่มขึ้น จากนโยบายรัฐบาลและมาตรการบังคับใช้กฎหมายจริงจัง สามารถทำลายเครือข่ายกลุ่มผู้มีอิทธิพล ช่วยเหลือผู้เสียหายและดำเนินคดีกับผู้กับผู้ต้องหาได้เพิ่มมากขึ้น มีการลงโทษ และดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำผิดอย่างเด็ดขาด และมีการอายัดทรัพย์สิน มูลค่ากว่า 471 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา โดยรูปแบบการค้ามนุษย์ที่พบมาก ได้แก่ การค้าประเวณี การบังคับใช้แรงงาน และขอทาน เป็นต้น

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิเสธ รัฐบาลมอบนโยบายของขวัญปีใหม่ ไม่เกี่ยวข้องทางการเมือง แต่เพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชน

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุถึง ผลการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ 18 ธันวาคม 2561 ที่มีมติอนุมัติของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน และเกิดเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจจะเกี่ยวโยงกับผลประโยชน์ทางการเมืองของรัฐบาลเนื่องจากใกล้เลือกตั้งว่า เรื่องดังกล่าวเป็นแนวนโยบายที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชน จึงไม่อยากให้มองว่าเป็นเรื่องของการเมืองเพียงอย่างเดียว

ประธานกรรมการการเลือกตั้ง หารือพรรคการเมือง กำหนดวงเงินในการหาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมืองและลักษณะของป้ายหาเสียง

นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. แถลงภายหลังการหารือกับพรรคการเมืองและสื่อมวลชน ว่า ที่ประชุมได้มีการหารือถึงกำหนดเงินค่าใช้จ่ายการเลือกตั้ง โดยมีผู้เสนอวงเงินที่ผู้สมัครแบ่งเขตจะต้องใช้ในการหาเสียงต่อคน ตั้งแต่ 2 แสนบาทจนถึง 2 ล้านบาท ซึ่งปรับขึ้นจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว 1.5 ล้านบาท โดยคำนึงถึงค่าครองชีพที่เปลี่ยนแปลงไปและปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้อง ส่วนการกำหนดวงเงินค่าใช้จ่ายของพรรคการเมือง ซึ่งพรรคการเมืองต่างเสนอกันอย่างหลากหลาย กกต.จะได้นำไปพิจารณาเพื่อกำหนดวงเงินต่อไป โดยต้องคำนึงถึงกรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ประธาน กกต. กล่าวว่า ที่ประชุมยังหารือเรื่องการกำหนดขนาดของแผ่นป้ายหาเสียง ซึ่งบางพรรคการเมืองเห็นว่าไม่น่ากำหนดขนาดแผ่นป้ายหาเสียง ซึ่งได้ชี้แจงว่า กฎหมายกำหนดให้ กกต.กำหนดขนาดของป้ายหาเสียงด้วย กกต.จึงได้กำหนดเป็นขนาด A3 โดยจะติดแบบแนวตั้งหรือแนวนอนก็ได้

สำหรับการหารือกับสื่อมวลชน มีการสอบถามถึงขอบเขตการหาเสียงทางอิเล็กทรอนิกส์มีความครอบคลุมแค่ไหน การใช้หุ่นยนต์หรือป้าย LED จะถือว่าเป็นการหาเสียงทางอิเล็กทรอนิกส์หรือไม่ ซึ่งหุ่นยนต์เข้าข่ายการหาเสียงทางอิเล็กทรอนิกส์ สามารถใช้ได้ เชื่อว่าจะเพิ่มสีสันของการเลือกตั้งอีกด้วย

มาตรการในการควบคุมและตรวจสอบการกระทำต้องห้ามในการหาเสียงอิเล็กทรอนิกส์ กกต.จะมีมาตรการอย่างไร อยากให้ กกต. ตั้งคณะทำงานขึ้นมาและมีช่องทางให้พรรคการเมืองแจ้งมาที่คณะทำงานได้โดยตรง โดยอยากให้ กกต. ชี้แจงให้ชัดเจนว่าการหาเสียงทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์มีลักษณะอย่างไรบ้าง ที่ไม่ได้เป็นไปตามกฎหมาย โดยจะเร่งดำเนินการให้ทันก่อนปีใหม่ที่จะถึงนี้

สั่งการฝ่ายความมั่นคงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดูแลและอำนวยความสะดวกความปลอดภัยประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่อย่างเต็มที่

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประชุมหน่วยงานความมั่นคงและหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ผ่านระบบประชุมทางไกล Video Conference เพื่อเตรียมความพร้อมดูแลความมั่นคงและความปลอดภัย ช่วงปีใหม่

20 ธ.ค. 61

นายกรัฐมนตรี เปิดตัวรถโดยสารปรับอากาศ NGV ใหม่ 489 คัน เป็นอีกหนึ่งของขวัญให้ประชาชน

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดตัวรถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าชธรรมชาติ (NGV) ใหม่ 489 คัน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งที่มอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน ณ โถงชั้น 1 หอประชุมสภากรุงเทพมหานคร ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 เขตดินแดง

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ระบบขนส่งมวลชนเป็นสิ่งที่รัฐบาลทุกประเทศจะต้องดูแลจัดให้มีสำหรับประชาชน ซึ่งในส่วนของประเทศไทยถือว่ามีบริการที่ดีกว่าหลายประเทศ เพราะขณะนี้ถือว่ามีรถเพียงพอถึงจะไม่เป็นรถใหม่ทั้งหมดก็ตาม รถเมล์ถือเป็นระบบขนส่งมวลชนที่สะดวกและมีค่าใช้บริการถูก แต่ปัญหาหลักคือการจราจรติดขัด โดยทุกฝ่ายจะต้องแก้ปัญหาการจราจรในภาพรวมให้ได้ ซึ่งต้องกลับไปแก้ตั้งแต่เรื่องของผังเมือง การขยายเมือง โดยประชาชนต้องช่วยกันออกแบบผังเมืองที่ดี เพื่อการมีถนนหนทางที่เพียงพอ มีการระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพ มีระบบป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นในอนาคต

ทั้งนี้การจัดซื้อรถเมล์ NGV ในระยะต่อไปให้ครบ 3,000 คัน ก็จะเป็นไปตามแผนแม่บทการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนและระบบจราจร โดยการจัดหามาต้องตอบสนองการใช้งานได้มากที่สุด เช่น การใช้งานของผู้พิการและผู้สูงอายุ

ประธานกรรมการการเลือกตั้ง ระบุ การรับฟังความคิดเห็นพรรคการเมืองและสื่อมวลชน ยังไม่ใช่ข้อสรุป

นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประชุมระหว่าง กกต. พรรคการเมือง สื่อมวลชน ที่โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นเพื่อนำไปประกอบการตัดสินใจออกระเบียบของ กกต. โดยมีการหารือเรื่องค่าใช้จ่ายในการหาเสียงเลือกตั้ง ของผู้สมัครแต่ละคนที่ กกต. กำหนดไว้คนละ 2 ล้านบาท แต่ยังไม่ใช่ข้อสรุปเพราะต้องดูภาพรวมที่จะต้องเป็นประโยชน์สูงสุดในกับทุกฝ่าย

ส่วนการตั้งวอร์รูมเพื่อควบคุมการหาเสียงผ่าน Social Media เบื้องต้นได้มีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งพร้อมที่จะส่งเจ้าหน้าที่มาประจำวอร์รูมแล้ว โดยทุกอย่างมีความพร้อมหมดแล้วทั้งบุคลากรและงบประมาณ แต่ต้องรอที่ประชุมสรุปอีกครั้ง

ส่วนการสังเกตการณ์เลือกตั้ง ประธาน กกต. กล่าวว่า ตามแนวทางปฏิบัติที่ผ่านมายังไม่มีเหตุผลใดที่จะห้ามองค์กรต่างประเทศเข้ามาจากการการเลือกตั้งได้ ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนความร่วมมือระหว่างกัน แต่ขณะนี้ยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาประกาศวันเลือกตั้ง จึงยังไม่มีประเทศไหนร้องขอเข้ามาสังเกตการณ์การเลือกตั้งของไทย พร้อมยืนยัน การทำงานของ กกต.เป็นอิสระ ไม่เกี่ยวข้องกับสภาวการณ์ทางการเมือง เส้นทางองค์กรที่เข้ามาสังเกตการปฏิบัติตามระเบียบและกฎหมายของไทย กกต. ก็จะไม่ปิดกั้น

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งตำรวจทุกภาคส่วนเข้ม ดูแลประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่

พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงการดูแลประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ว่า ได้ทำหนังสือกำชับให้ทุกกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1-9 ดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนอย่างเต็มที่ พร้อมยืนยันว่า ยังไม่พบการข่าวกลุ่มผู้ไม่หวังดี เคลื่อนไหวเข้ามาก่อเหตุ

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งตำรวจ นำบทเรียนอุบัติเหตุบนท้องถนนที่เกิดขึ้นกำหนดมาตรการที่เหมาะสม

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาเกิดอุบัติเหตุกับผู้ขับขี่รถจักรยานหลายครั้ง ซึ่งมีทั้งนักปั่นระดับโลก , ชาวต่างชาติและชาวไทยหลายราย โดยเฉพาะล่าสุด รู้สึกสะเทือนใจและเสียใจกับการเสียชีวิตของผู้เข้าร่วมกิจกรรมจักรยานการกุศล โครงการ “ปั่นเพื่อบุญ” ซึ่งประสบอุบัติเหตุ จากผู้ขับขี่รถโดยประมาท

จึงได้กำชับสั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประสานส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง นำการเกิดอุบัติเหตุที่ผ่านมา เป็นบทเรียนในการกำหนดมาตรการที่เหมาะสมในการเสริมสร้างความปลอดภัยและป้องกันอุบัติเหตุกับผู้ขับขี่รถจักรยานให้มากขึ้นทุกพื้นที่ ทั้งมาตรการเร่งด่วนและมาตรการเฉพาะ โดยให้มีผลครอบคลุมทั้งทางกายภาพและสภาพแวดล้อม รวมทั้งผลการปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานเดียวกันในทุกพื้นที่ ทั้งในช่วงเทศกาลและต่อเนื่องตลอดทั้งปี

รัฐบาลพร้อมจัดงาน “รวมใจประสานสู่ประธานอาเซียน”เปิดตัวแนวคิดหลักการขับเคลื่อนอาเซียน "ร่วมมือร่วมใจก้าวไกลยั่งยืน"

นางสาวบุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่าวันพรุ่งนี้ (21 ธ.ค.61) รัฐบาลจะจัดงาน “รวมใจประสานสู่ประธานอาเซียน”ขึ้น ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งการจัดงานครั้งนี้จะเป็นการเปิดตัวแนวคิดหลัก คือ ร่วมมือร่วมใจก้าวไกลยั่งยืน และโลโก้ของการเป็นประธานอาเซียนของไทย ซึ่งพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะได้เป็นประธานเปิดงานและมอบรางวัลให้กับผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดโลโก้ของการเป็นประธานอาเซียนที่มีรูปแบบของพวงมาลัย โดยการจัดงานได้รับเกียรติจากเลขาธิการอาเซียนเข้าร่วมงาน และรัฐบาลได้เชิญทุกภาคส่วนเข้าร่วมในกิจกรรม

เศรษฐกิจ/ท่องเที่ยว

17 ธ.ค. 61

นายกรัฐมนตรี มอบนโยบายจัดทำงบประมาณปี 2563 ต้องสอดคล้องยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวมอบนโยบายการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ว่า การจัดทำงบประมาณปี 2563 ต้องสอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 โปร่งใส เป็นธรรม และคำนึงถึงประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ รวมทั้งต้องนำศาสตร์พระราชามาใช้ในการขับเคลื่อนประเทศ เพราะไทยต้องเปลี่ยนไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว และสามารถยืนอยู่บนเวทีโลกได้อย่างสง่างาม ที่สำคัญต้องตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน เน้นให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชันที่สำคัญ คือปลูกฝังให้คนรุ่นใหม่โตไปไม่โกง และจะต้องเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการภาครัฐแก่ประชาชน

กฟน.ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

การไฟฟ้านครหลวง เร่งขับเคลื่อนดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยเปิดให้ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ ลงทะเบียนรับสิทธิ์ใช้ไฟฟ้าฟรีในวงเงิน 230 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน คาดจะมีผู้มีลงทะเบียนใช้สิทธิ์ประมาณ 6 แสนราย ทั้งนี้ รัฐบาล จะให้สิทธิระหว่างเดือนธันวาคม 2561 ถึงเดือนกันยายน 2562 รวม 10 เดือน

โดยจะต้องมียอดชำระค่าไฟฟ้าไม่เกิน 230 บาท ต่อครัวเรือนต่อเดือน จึงจะได้รับเงินช่วยเหลือตามยอดที่ชำระจริงผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน

นายกีรพัฒน์ เจียมเศรษฐ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง หรือ กฟน. กล่าวว่า ผู้มีสิทธิ์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ใช้สิทธิ์จากมาตรการค่าไฟฟ้าฟรีสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่มีรายได้น้อย โดยใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 50 หน่วยต่อเดือน ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 เดือน ให้ใช้สิทธิ์ตามมาตรการเดิม สำหรับผู้มีสิทธิ์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐใช้ไฟฟ้าเกิน 50 หน่วยต่อเดือน จะได้รับสิทธิ์ตามมาตรการใหม่ ทั้งนี้ รัฐบาลจะให้สิทธิระหว่างเดือนธันวาคม 2561 ถึงเดือนกันยายน 2562

หลังจากการชำระค่าไฟฟ้าตามปกติผ่านช่องทางต่างๆ แล้ว กฟน. จะดำเนินการรวบรวมข้อมูลเพื่อส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ และจะดำเนินการโอนเงินคืนผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้ครั้งแรกภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 หากในเดือนใดมีการใช้ไฟฟ้าเกินยอดชำระค่าไฟฟ้า 230 บาท จะไม่สามารถรับสิทธิดังกล่าวในเดือนนั้นได้

สอบถามข้อมูลมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้ที่ Call Center บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โทร 02 109 2345 หรือ Call Center กรมบัญชีกลาง โทร 02 270 6400 หรือสอบถามได้ที่ MEA Call Center 1130

การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษบูรพาวิถี สายบางนา-ชลบุรี และทางพิเศษกาญจนาภิเษก สายบางพลี-สุขสวัสดิ์ 8 วัน

นายสุชาติ ชลศักดิ์พิพัฒน์ ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย หรือ กทพ. เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนในการเดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่ กทพ. ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษบูรพาวิถี ทางพิเศษสายบางนา-ชลบุรี และทางพิเศษกาญจนาภิเษก สายบางพลี-สุขสวัสดิ์ เป็นของขวัญในช่วงเทศกาลปีใหม่ รองรับการเดินทางของประชาชน หลังเที่ยงคืนของวันที่ 27 ธันวาคม 2561 ถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 3 มกราคม 2562 รวมเวลา 8 วัน

พร้อมกันนี้ กทพ. ยังได้เตรียมจัดตั้งหน่วยบริการประชาชนบนทางพิเศษเพื่อรองรับการเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ ทั้งขาเข้าและขาออกจำนวน 6 จุด โดยขาออกให้บริการ ตั้งแต่วันที่ 26-31 ธันวาคม 2561 ที่ด่านฯ บางแก้ว 1 ด่านฯ ฉิมพลี และด่านฯ บางปะอิน (ขาออก) ส่วนขาเข้า ตั้งแต่วันที่ 1-3 มกราคม 2562 ที่ด่านฯ ดาวคะนอง ด่านฯ จตุโชติ และด่านฯ บางปะอิน (ขาเข้า)ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ทางพิเศษ กทพ. ขอความร่วมมือปฏิบัติตามกฎจราจรและป้ายสัญญาณต่างๆ อย่างเคร่งครัด

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ทางพิเศษ (EXAT Call Center) หมายเลขโทรศัพท์ 1543 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

มั่นใจมาตรการสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา

นายสมเกียรติ กิมาวหา ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวถึงโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับ ธ.ก.ส. จัดโครงการดังกล่าวขึ้นเพื่อสร้างสมดุลของปริมาณผลผลิตข้าวให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด โดยลดพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง ส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ยังมีปริมาณไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาดในประเทศ โดยใช้แนวทางตลาดนำการผลิต ใช้พื้นที่ภายหลังฤดูกาลทำนาเป็นพื้นที่เป้าหมายรวม 37 จังหวัดทั่วประเทศ

โดย ธ.ก.ส. ได้สนับสนุนสินเชื่อเพื่อขับเคลื่อนมาตรการจูงใจแก่เกษตรกร ทั้งเงินทุนหมุนเวียนในการผลิตและจัดหาปัจจัยการผลิต สนับสนุนสินเชื่อเพื่อการรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ นอกเหนือจากส่งเสริมเงินทุนดังกล่าวแล้ว รัฐบาลยังช่วยเหลือค่าเบี้ยประกันภัย กรณีเกิดประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือจากศัตรูพืชและโรคระบาดในช่วงเพาะปลูก

ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร กล่าวอีกว่า ล่าสุด ณ วันที่ 16 ธันวาคม 2561 ผลการโอนจ่ายเงินสินเชื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการแล้ว 46,024 ราย พื้นที่ 432,380 ไร่ รวมเงินกว่า 38 ล้านบาท

ทั้งนี้ เกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมโครงการยังสามารถยื่นแสดงความต้องการได้จนถึงวันที่ 15 มกราคม 2562 อย่างไรก็ตาม กรณีที่เกษตรที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของสหกรณ์การเกษตร และ ธ.ก.ส. ก็สามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้เช่นเดียวกัน โดยสามารถติดสอบถามข้อมูลได้ที่ ธ.ก.ส. ใกล้บ้านทุกแห่งทั่วประเทศ

18 ธ.ค. 61

ททท. ร่วมกับพันธมิตรชวนเที่ยวไทยกับกิจกรรมเท่ๆ ในโครงการ “Amazing ไทยเท่” #เที่ยวเท่ๆ แบบไทยๆ

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ในปี 2562 ททท. ได้ตั้งเป้าหมายรายได้ในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.4 คิดเป็นมูลค่ารายได้ทางการท่องเที่ยว 1.18 ล้านบาท และมีเป้าหมายนักท่องเที่ยวภายในประเทศจำนวน 179 ล้านคน/ครั้ง โดยเกิดจากการต่อยอดการรับรู้ผ่านแคมเปญ Amazing ไทยเท่ และนำมาสร้างการรับรู้ผ่านกระแสความเท่ให้เป็นที่นิยม พร้อมกระตุ้นให้เกิดการบอกต่อสู่การเดินทางท่องเที่ยวกับโครงการ Amazing ไทยเท่ #เที่ยวเท่ๆ แบบไทยๆ ภายใต้แนวคิด Go For More โดยนำเสนอการท่องเที่ยววิถีไทยแบบลึกซึ้งถึงประสบการณ์ท้องถิ่นของ 5 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ โดยแบ่งออกเป็น 7 กิจกรรม ประกอบด้วย การเดินทาง กินดื่ม ช๊อปปิ้ง อันซีน เอนกาย Event และ 55 เมือง(รอง)

นอกจากนี้ ในแต่ละไตรมาส ททท. ร่วมกับพันธมิตรจัดกิจกรรมทางการท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวชาวไทยรวมถึงต่างชาติได้ท่องเที่ยวตลอดทั้งปี สอดคล้องกับทั้ง 7 กิจกรรมดังกล่าว อาทิ การมอบโปรโมชั่นสุดพิเศษกับเส้นทางบินให้นักท่องเที่ยว ได้เดินทางทั่วประเทศไทย การจัดมหกรรมหนังกลางแปลง พร้อมนิทรรศการออกร้านจำหน่ายสินค้าในบรรยากาศหนังกลางแปลง กำหนดจัดกิจกรรมในเดือนพฤษภาคม 2562 และจัดโปรโมชั่นร่วมกับบัตรเครดิตที่เป็นพันธมิตรให้นักท่องเที่ยวที่ใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการต่างๆ สามารถสะสมคะแนนเพื่อแลกรับสิทธิพิเศษที่พัก ร้านอาหาร และสปาทั่วประเทศ เป็นต้น

โดยเน้นการเดินทางที่ได้เข้าไปเรียนรู้ไปสัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่น วิถีชุมชน และภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายเห็นคุณประโยชน์จากการเดินทาง และได้สัมผัสถึงคุณค่าจากการท่องเที่ยวในมุมมองใหม่ และเรื่องราวที่แตกต่างของแหล่งท่องเที่ยวเดิมของ 5 ภูมิภาค ที่มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน

กรมบัญชีกลาง เตรียมแจกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมอีกกว่า 3 ล้านราย

นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า หลังจากกรมบัญชีกลาง ได้จัดทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติม ภายใต้โครงการไทยนิยม ยั่งยืน ในกลุ่มผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้ที่ไม่สามารถเดินทางมาลงทะเบียนได้ในปี 2560 โดยจะเริ่มแจกบัตรฯ ผ่านทีมไทยนิยม ยั่งยืน ทั่วประเทศ จำนวน 3,042,741 ราย

ซึ่งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่จะแจกในครั้งนี้ มี 2 แบบ คือบัตรแบบ Contactless เป็นบัตรที่สามารถใช้ได้กับเครื่องรับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ชนิดโมบาย ที่จะแจกให้กับผู้มีสิทธิที่แจ้งที่อยู่ปัจจุบันใน 7 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม และ บัตรแบบ Smart Card ซึ่งจะแจกให้กับผู้มีสิทธิในจังหวัดอื่นๆ นอกเหนือจาก 7 จังหวัดข้างต้น

ขณะนี้กรมบัญชีกลาง ได้จัดส่งบัตรไปที่สำนักงานคลังจังหวัดทุกจังหวัดและกรุงเทพมหานครเรียบร้อยแล้ว เพื่อส่งต่อให้ถึงมือผู้มีสิทธิได้รับบัตรตามที่มีการประกาศรายชื่อ โดยกำหนดระยะเวลาในการรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็น 3 ช่วง ตั้งแต่วันที่ 21 – 28 ธันวาคมนี้ สามารถรับบัตรจากทีมไทยนิยมฯ ระดับตำบล/ชุมชน และเริ่มใช้บัตรได้ในวันที่ 1 มกราคม 2562 /ช่วงที่ 2 ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2561 – 31 มกราคม 2562 รับบัตรจากทีมไทยนิยมฯ ระดับตำบล/ชุมชน เริ่มใช้ได้หลังจากรับบัตรไปแล้ว 2 วันทำการ และช่วงที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 1 – 28 กุมภาพันธ์ 2562 ต้องไปรับบัตร ณ ที่ว่าการอำเภอ หรือสำนักงานเขตในกรุงเทพมหานคร ตามที่อยู่ปัจจุบันที่ลงทะเบียนไว้ และบัตรจะเริ่มใช้ได้หลังจากรับบัตรไปแล้ว 2 วันทำการ

อย่างไรก็ตาม หากพ้นระยะเวลาดังกล่าว ผู้มีสิทธิจะต้องไปรับบัตรที่สำนักงานคลังจังหวัดหรือศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ในจังหวัดที่ผู้มีสิทธิได้ลงทะเบียนไว้ และบัตรจะเริ่มใช้ได้หลังจากรับบัตรไปแล้ว 2 วันทำการ พร้อมย้ำว่าผู้มีสิทธิที่รับบัตรจากทีมไทยนิยมฯ ในระหว่างวันที่ 21 - 28 ธันวาคม 2561 จะเริ่มใช้สิทธิที่กล่าวข้างต้นได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 เป็นต้นไป

19 ธ.ค. 61

ททท. มอบของขวัญปีใหม่แก่นักท่องเที่ยวชาวไทย ด้วยกิจกรรม Countdown 2019 และประกันอุบัติเหตุ 1 แสนคน

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยงแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ในช่วงครึ่งเดือนธันวาคมนี้ ททท.ได้เตรียมของขวัญให้กับนักท่องเที่ยวชาวไทยในหลากหลายรูปแบบ ซึ่งจะทำให้สามารถเดินทางช่วงปลายปีได้อย่างสนุกสนานและอุ่นใจ ได้แก่ กิจกรรม Amazing Thailand Countdown 2019 ที่จัดขึ้นในเมืองรอง 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย นครพนม ราชบุรี และจังหวัดสตูล รวมทั้งที่ไอคอนสยาม กรุงเทพมหานคร กิจกรรม Thailand Shopping & Dining Paradise ที่เอาใจสายช้อปที่จัดขึ้นในจังหวัดเมืองรองที่อยู่ติดประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ จังหวัดตาก สระแก้ว อุดรธานี และจังหวัดสุรินทร์

นอกเหนือจากกิจกรรมดังกล่าวแล้ว ททท. ยังได้ร่วมมือกับ บริษัท ทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ จำกัด มอบ “ประกันอุบัติเหตุปีใหม่อุ่นใจ” แก่นักท่องเที่ยวชาวไทยจำนวน 100,000 คนแรก ที่สมัครรับสิทธิ์ประกันอุบัติเหตุผ่านแอปพลิเคชัน Line เมื่อเข้าเป็นเพื่อน TQM INSURANCE BROKER OFFICIAL โดยสแกน QR CODE ที่จะปรากฏในสื่อต่างๆ ของ ททท. และที่สำนักงาน ททท. ทั่วประเทศ เมื่อทำรายการถูกต้องครบถ้วนแล้ว จะได้รับการยืนยันเลขที่กรมธรรม์และวันที่เริ่มจนถึงวันสิ้นสุดการคุ้มครองผ่าน Line ระยะเวลารวม 30 วัน ซึ่งจะคุ้มครองตามเงื่อนไขกรมธรรม์ โดยกรุงเทพประกันภัย โดยเริ่มลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 5 มกราคม 2562

ทั้งนี้มั่นใจว่าของขวัญที่ ททท. มอบให้แก่ประชาชนจะทำให้ประชาชนมีความสุข และคาดว่าจะมีการเดินทางท่องเที่ยวช่วงเทศกาลปีใหม่ระหว่างวันที่ 29 ธ.ค. 2561 - 1 ม.ค. 2562 จะสร้างรายได้จากตลาดต่างประเทศและในประเทศรวมกันกว่า 17,000 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 โดยคิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 520,000 คน และตลาดในประเทศจะมีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยเดินทางภายในประเทศประมาณ 2.72 ล้านคน/ครั้ง หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครคาดว่าจะมีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยประมาณ 222,100 คน

สนค.วางยุทธศาสตร์รุกตลาดจีน “3 แนวคิด 7 แนวทาง” ตั้งเป้าปี 2570 สร้างมูลค่าส่งออก 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ

นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยถึงผลการศึกษาโอกาสการส่งออกของไทยไปยัง 10 มณฑลและเมืองสำคัญของจีนตามนโยบายของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ให้กระทรวงพาณิชย์เน้นการเจาะจีนเป็นรายมณฑลว่า สนค.ได้ทำการวิเคราะห์โอกาสการทำการค้าของไทยกับ 10 มณฑลของจีน ได้แก่ กวางตุ้ง เจียงซู เซี่ยงไฮ้ ซานตง เจ้อเจียง ปักกิ่ง เหอหนาน เทียนสิน ฟูเจี้ยน และเสฉวน ซึ่งเป็นมณฑลที่นำเข้าสินค้าร้อยละ 84.2 ของการนำเข้าทั้งหมดของจีน และร้อยละ 91.3 ของการนำเข้าสินค้าจากไทย

โดยพบว่าไทยมีโอกาสในการขยายการค้ากับบางมณฑลของจีนได้เพิ่มขึ้นอีกมาก จึงได้ตั้งเป้าหมายผลักดันการส่งออกสินค้าไทยไปจีนเพิ่มเป็น 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐในปี 2570 เพิ่มจากปี 2560 ที่มีมูลค่า 2.95 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

สำหรับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การค้าไทยกับจีน จะเดินหน้าภายใต้ “3 แนวคิด 7 แนวทาง รุกตลาดจีน” โดย 3 แนวคิด คือ ต้องกำหนดสินค้าที่มีศักยภาพ ประสานนโยบายการพัฒนาที่สำคัญของสองประเทศ และความถนัด ความเชี่ยวชาญ เป็นต้น

กระทรวงการคลัง แจงมาตรการส่งเสริมการชำระเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการผ่านบัตรเดบิต คืน Vat ร้อยละ 5 ช่วง 1-15 ก.พ.2562

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2561 เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการชำระเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการ และการนำส่งข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (มาตรการฯ) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมาตรการดังกล่าว กำหนดให้จ่ายเงินชดเชยแก่ผู้ชำระเงินที่ใช้บัตรเดบิตของตนเองทุกประเภทที่ออกในประเทศไทยและมีการใช้จ่ายในประเทศไทย ไม่รวมถึงบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในการซื้อสินค้าและบริการที่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม ไม่รวมถึงสินค้าและบริการที่มีภาษีสรรพสามิตและใช้จ่ายในช่วงวันที่ 1 – 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 กับผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ใช้ระบบบันทึกการเก็บเงิน (Point of Sale: POS) ซึ่งสามารถแยกจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 ออกจากราคาสินค้าและบริการได้ และจ่ายเงินชดเชยเป็นจำนวนเท่ากับร้อยละ 5 ทั้งนี้จะจ่ายเงินชดเชยสูงสุดไม่เกิน 1,000 บาทต่อคน โดยจ่ายเข้าระบบพร้อมเพย์ที่ใช้เลขประจำตัวประชาชน รัฐบาลจะจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ที่มีคุณสมบัติผ่านระบบพร้อมเพย์ที่ใช้เลขประจำตัวประชาชน ภายในพฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ทั้งนี้ มาตรการฯ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์แทนการใช้เงินสด การผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการชำระเงินผ่านบัตรอิเล็กทรอนิกส์และการบูรณาการระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ในส่วนการนำส่งรายงานการทำธุรกรรมทางการเงินและการนำส่งข้อมูลภาษีเมื่อมีการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ อันเป็นการสนับสนุนการดำเนินงานตาม National e-Payment Master Plan

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีนคนที่ 10 ล้าน

นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วยนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และหน่วยงานพันธมิตร ร่วมให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนคนที่ 10 ล้าน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พร้อมกล่าวชื่นชมการทำงานของ ททท. ในฐานะหน่วยปฏิบัติ โดยเฉพาะการดำเนินงานส่งเสริมการตลาดในเชิงรุก เพื่อรักษาตำแหน่งทางการตลาดควบคู่การนำเสนอภาพลักษณ์อันดีของประเทศไทยในการประชาสัมพันธ์เชิญชวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยถึงกว่า 30 ล้านคนต่อปี ในจำนวนนี้ตลาดนักท่องเที่ยวจีนมีสัดส่วนถึง 1 ใน 3 ของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย

ซึ่งปีนี้เป็นปีแรกที่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมาประเทศไทยถึง 10 ล้านคน จึงเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีความสำคัญที่ต้องให้การดูแลต้อนรับอย่างดี เพื่อสร้างความประทับใจ

นอกจากนี้ นายวีระศักดิ์ ยังกล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนและสาธารณรัฐประชาชนจีนที่มีส่วนร่วมในการผลักดันสนับสนุนและส่งเสริมการเดินทางของพี่น้องชาวจีนให้มาท่องเที่ยวประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยความเชื่อมั่นและสัมพันธภาพที่ดีต่อกันตลอดไป

สำหรับผู้โชคดีชาวจีนคนที่ 10 ล้านในวันนี้ คือ Miss He weixin เดินทางมากับสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG 613 เวลา 16.35 น. จากเมืองคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน เปิดเผยว่า เดินทางมาไทยเป็นครั้งที่ 2 ด้วยความประทับใจ เนื่องจากไทยมีความสวยงามและเป็นประเทศแห่งความสุข รวมทั้งรู้สึกภูมิใจและยินดีที่จะกลับมาอีกครั้ง นอกจากนี้นักท่องเที่ยวคนดังกล่าวจะได้รับการอำนวยความสะดวกต่างๆ พร้อมทั้งของอภินันทนาการจากหน่วยงานพันธมิตรที่ร่วมให้การต้อนรับ เพื่อให้การเดินทางมาเยือนประเทศไทยเต็มไปด้วยความอบอุ่น สนุกสนานและประทับใจ

โดย ททท. คาดการณ์ว่า สถานการณ์ตลาดนักท่องเที่ยวชาวจีนขณะนี้ได้กลับมาฟื้นฟูเช่นเดิมแล้ว และจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตลอดปี 2561 มีนักท่องเที่ยวมากกว่า 10 ล้านคน คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 5 – 7 สร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวมากกว่า 5.9 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 – 12

20 ธ.ค. 61

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยืนยัน ภายในเดือนมีนาคม 2562 รถเมล์ NGV รุ่นใหม่ 489 คันจะออกมาให้บริการประชาชนครบทุก 26 สาย

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังพิธีมอบรถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV)ใหม่ ขององค์กรขนส่งมวลกรุงเทพ หรือ ขสมก. โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน ว่า ที่ผ่านมา ขสมก.ได้ดำเนินการตามแผนเพื่อจัดหารถโดยสารตามแผนจะสามารถรับมอบรถจากเอกชนงวดที่ 3 ได้ช่วงวันที่ 20 ธันวาคม และวันที่ 27 ธันวาคม 2561 และในงวดสุดท้ายจะต้องส่งมอบรถให้ครบภายในวันที่ 27 มีนาคม 2562 โดยจะครบ 489 คัน และวิ่งให้บริการใน 26 สายทาง ถือว่าเป็นตามแผนงาน

ทั้งนี้ การจัดหารถจำนวน 489 คัน ถือเป็นรุ่นแรกตามแผนฟื้นฟู ขสมก. เพื่อยกระดับมาตรฐานคุณภาพบริการและเพื่อนำรถโดยสารดังกล่าว มาวิ่งให้บริการประชาชนทดแทนรถโดยสารเดิมที่มีสภาพเก่า เนื่องจากมีอายุการใช้งานหลายปี ส่วนการจัดหารถรุ่นต่อไปจะเป็นตามแผนของคณะกรรมการ ขสมก. จะพิจารณา โดยก่อนจะพิจารณาก็จะต้องนำแผนฟื้นฟูเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา

โดยแผนเดิมที่ได้รับการอนุมัติคือ จำนวน 3,183 คัน ขณะนี้ ขสมก.ได้ดำเนินการใหม่โดยจะนำเสนอเพื่อให้ ครม.อนุมัติ เพื่อรับรองแผนใหม่ต่อไป ซึ่งจะมีการปรับเปลี่ยนเรื่องของจำนวนรถอาจจะไม่ถึงจำนวนเดิม หลังจากนั้น ขสมก.ก็จะต้องไปดำเนินการเรื่องของการจัดซื้อจัดจ้างต่อไป

สำหรับรถรุ่นใหม่ตามแผนที่ปรับปรุง ประกอบด้วย รถเมล์เอ็นจีวี และรถเมล์ไฮบริด (ไฟฟ้า+น้ำมัน) รถเมล์ไฟฟ้า(EV) และรถเมล์เก่าที่ปรับปรุงใหม่ ซึ่งใช้งบประมาณไม่สูง อย่างไรก็ตาม การนำเสนอแผนจะประกอบด้วย แผนการทบทวนมติ ครม. เพื่อขอความเห็นชอบเรื่องของแผนฟื้นฟู ซึ่งประกอบด้วยการจัดหารายได้ คาดว่าจะสามารถเสนอต่อที่ประชุม ครม.เพื่อพิจารณารายละเอียดแผนดังกล่าวได้ประมาณเดือนมกราคม 2562

ยืนยัน กองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย พร้อมจ่ายเงินชดเชยค่าอ้อยปี 2560/2561 ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด

นายวิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ชี้แจงกรณีที่มีข้อกังวลของผู้ประกอบการโรงงานน้ำตาลทราย ต่อสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ในการจ่ายเงินชดเชยเงินส่วนต่างค่าอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้ายของฤดูกาลผลิต 2560/2561 ที่ต่ำกว่าราคาอ้อยขั้นต้นคืนให้แก่โรงงานนั้น ว่า การกำหนดราคา เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณที่กฎหมายกำหนด ตามมาตรา 55 แห่งพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 โดยกำหนดว่า ในกรณีที่ราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย ขั้นสุดท้ายต่ำกว่าราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย จ่ายเงินชดเชยให้กับโรงงานเท่ากับส่วนต่างดังกล่าว แต่เกษตรกรชาวไร่อ้อยไม่ต้องส่งคืนค่าอ้อยที่ได้รับเกิน

โดยราคาอ้อยขั้นต้นฯ ฤดูกาลผลิตปี 2560/2561 อยู่ที่ 880 บาทต่อตันอ้อย ส่วนราคาอ้อยขั้นสุดท้ายฯราคาเฉลี่ยทั่วประเทศอยู่ที่ 792.74 บาทต่อตันอ้อย ณ ระดับความหวานที่ 10 ซี.ซี.เอส. ดังนั้นในฤดูกาลผลิตปี 2560/2561 กองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย จะต้องดำเนินการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างให้กับโรงงานเป็นจำนวนเงิน 19,310.67 ล้านบาท ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) ในการประชุมครั้งที่ 12/2561 เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2561 ซึ่งขณะนี้เรื่องอยู่ระหว่างการนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณ 2 สัปดาห์ และเมื่อผ่านพิจารณาเห็นชอบ สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย จะดำเนินการประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้ เพื่อให้กองทุนฯ จ่ายเงินชดเชยให้แก่โรงงานโดยเร็วต่อไป

นายวีระศักดิ์ ขวัญเมือง ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ขณะนี้กองทุนฯ จะมีรายได้จากการจัดเก็บเงินจากการจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายว่าด้วยการจัดเก็บเงินจากการจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในราชอาณาจักรเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2561 จำนวน 10,363.73 ล้านบาท สำหรับการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างให้กับโรงงานจำนวน 19,310.67 ล้านบาทนั้น ในเบื้องต้นกองทุนฯ จะหักกลบลบหนี้กับเงินกู้เสริมสภาพคล่องที่โรงงานกู้จากกองทุนฯ ก่อน จำนวน 5,120 ล้านบาท จึงยังคงเหลือเงินชดเชย 14,190 ล้านบาท และกองทุนฯ จะใช้เงินของกองทุนฯ ที่มีอยู่จ่ายชดเชยโรงงาน ประมาณ 9,500 ล้านบาท ดังนั้น จะเหลือภาระเงินชดเชยอีกประมาณ 4,690 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีแหล่งเงินเพื่อการชำระหนี้ โดยกองทุนฯ คาดว่าจะต้องนำเสนอเรื่องนี้ต่อคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ เพื่อพิจารณาหาแหล่งเงินทุนเพื่อชดเชยส่วนต่างให้กับโรงงานน้ำตาล อาทิ จะขอกู้เงินหรือค้างชำระเงินแล้วนำรายได้ในอนาคตของกองทุนฯ มาชำระหนี้โรงงาน ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดโดยเร็วต่อไป

การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ยืนยัน ช้อปยางล้อช่วยชาติไม่มีล็อคสเปค เปิดโอกาสให้ทุกบริษัท

นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงโครงการช้อปช่วยชาติ ในส่วนของการช้อปยางล้อช่วยชาติ ที่สนับสนุนผู้ซื้อยางสามารถนำหลักฐานการซื้อยางล้อและคูปองที่ทางร้านมอบให้ไปใช้ในการลดหย่อนภาษีเงินได้ในวงเงิน 15,000 บาท โดยเชิญชวนให้ผู้ผลิตยางล้อที่มีฐานการผลิตในประเทศไทยทุกรายเข้าร่วมโครงการ ระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2561 -16 ม.ค. 2562 เพื่อเป็นการสนองนโยบายการเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราภายในประเทศของรัฐบาล ภายใต้เงื่อนไขให้บริษัทผู้ผลิตยางล้อที่มีความประสงค์จะเข้าร่วมโครงการ สถาบันเกษตรกรชาวสวนยางหรือ กยท.โดยตรง กยท.จะออกหลักฐานเป็นคูปองให้บริษัท เพื่อมอบให้ผู้ซื้อยางในโครงการช้อปยางล้อช่วยชาติ โดยย้ำหากอนุมัติให้บริษัทที่ไม่ได้ซื้อยางพาราโดยตรงจากสถาบันเกษตรกร หรือ กยท. จะขัดกับมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้ซื้อยางพาราโดยตรงจากเกษตรกร ประกอบกับหากบริษัทที่ขายยางพาราให้กับบริษัทผลิตยางล้อ นำยางเก่าในโกดังของบริษัทที่ซื้อเก็บไว้มาขายต่อก็จะไม่เป็นการดูดซับยางออกจากตลาด ทำให้ไม่มีผลต่อการรักษาเสถียรภาพราคายางตามนโยบายของรัฐบาล

สำหรับขณะนี้มีบริษัทยางล้อได้เข้าร่วมโครงการ แล้ว 7 บริษัท ประกอบด้วย IRC Maxxis N.D Rubber ดีสโตน โอตานิ จงเช่อ รับเบอร์ และ V-Rubber ยอดสั่งซื้อวัตถุดิบยาง 3,000 ตัน

ออมสิน ออกสินเชื่อ“ออมสินส่งสุข ใจดี...มีว้าว” หนุนอาชีพรายย่อย เพิ่มช่องทางการขาย

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสิน จัดแคมเปญ “ออมสินส่งสุข ใจดี...มีว้าว”เป็นการมอบโชคให้กับลูกค้าของธนาคารออมสินทั่วประเทศ ที่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อและจัดทำนิติกรรมสัญญาสินเชื่อ Street Food สินเชื่อธุรกิจแฟรนไชส์ สินเชื่อธุรกิจห้องแถวและสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน

โดยลูกค้าที่มีสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรมจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อและจัดทำนิติกรรมสัญญาสินเชื่อ 4 ประเภทดังกล่าว ในช่วงระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2561 ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2562 บัญชีละ 1 สิทธิ์ ยกเว้นสินเชื่อ Street Food ที่ได้สิทธิ์การจับรางวัลบัญชีละ 2 สิทธิ์ ทั้งนี้ลูกค้าจะต้องมีวินัยทางการเงิน ผ่อนชำระปกติและไม่มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยคาดว่าจะมีลูกค้ากลุ่มนี้เพิ่มขึ้น 135,000 ราย

โดยรางวัลที่ธนาคารจะมอบให้กับผู้โชคดี ประกอบด้วย รถกระบะ ISUZU D-MAX 1.9 Ddi L จำนวน 1 รางวัล รถ Food Truck Suzuki Carry จำนวน 1 รางวัล รถจักรยานยนต์ YAMAHA Fino125 (Duluxe) จำนวน 12 รางวัล และโทรศัพท์มือถือ VIVO Y53 C Black จำนวน 72 รางวัล กำหนดจับรางวัลจำนวน 9 ครั้ง ทุกวันที่ 15 ของเดือน (ยกเว้นครั้งที่ 4 จับรางวัลในวันที่ 19 เมษายน 2562 ครั้งที่ 6 จับรางวัลในวันที่ 17 มิถุนายน 2562 และครั้งที่ 9 จับรางวัลในวันที่ 16 กันยายน 2562) โดยเริ่มจับรางวัลครั้งแรกในวันที่ 15 มกราคม 2562

ททท. เปิดตัวโครงการ "เมืองไทยใครๆ ก็เที่ยวได้ ปี 2562"

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า "โครงการ เมืองไทยใครๆ ก็เที่ยวได้ ปี 2562" เป็นโครงการที่จัดขึ้นตามแนวคิด Tourism for All โดยมุ่งหวังให้การท่องเที่ยวเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวไทย ซึ่งจะส่งผลให้สังคมไทยเข้มแข็งอย่างยั่งยืน โดยจะจัดกิจกรรมหลากหลายตลอดทั้งปี เพื่อมอบโอกาสในการท่องเที่ยวให้กับคนไทย

ซึ่งในปีนี้ ททท. ได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรทางการท่องเที่ยวมากมาย ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยวกองทัพบก ศูนย์อำนวยการการท่องเที่ยวกองทัพเรือ กองทัพอากาศ และแหล่งท่องเที่ยวของพันธมิตรอื่นๆ กว่า 100 แห่ง เปิดพื้นที่ท่องเที่ยวในเขตทหารให้เที่ยวฟรีและมอบส่วนลดพิเศษสำหรับกิจกรรมภายในแหล่งท่องเที่ยวสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทุกคน อาทิ องค์การสวนสัตว์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สุขสยาม The ICON SIAM มิวเซียมสยาม สยามนิรมิต ณ สัทธา อุทยานไทย Nanta Show จาก Show DC สุนทรีย์แลนด์ แดนตุ๊กตา เป็นต้น

นอกจากนี้ ททท. ยังได้จัดกิจกรรม "เที่ยวตามฝัน ครั้งหนึ่งในชีวิต" โดยจะมอบของขวัญพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ทำความดีเป็นจิตอาสาทำงานช่วยเหลือสังคม ได้แก่ กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) กลุ่มอาสาสมัครกรุงเทพมหานคร (อสส.) กลุ่มอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) และกลุ่มอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ประจำหมู่บ้าน (อพม.) โดยกลุ่มจิตอาสาทั้งหมดนี้จะได้รับสิทธิ์ในการร่วมสนุกลุ้นรางวัลแพ็คเก็จเที่ยวฟรีตามฝัน ครั้งหนึ่งในชีวิต สำหรับทั้งครอบครัว (4 คน) เพื่อแทนคำขอบคุณและตอบแทนความดี ที่แม้ว่าจะเป็นผู้มีรายได้น้อยแต่มีจิตใจที่เสียสละอย่างยิ่ง

ทั้งนี้ ททท. ยังได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ร่วมจัดกิจกรรมพาเด็กด้อยโอกาส เด็กพิการ และผู้สูงอายุ จากมูลนิธิต่างๆ ไปเที่ยวฟรีตามความฝัน มอบเป็นของขวัญแห่งความสุขอีกด้วย โดย ททท. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการดังกล่าวจะส่งมอบความสุขให้กับประชาชนคนไทยทุกคนตลอดปี 2562

ข้าวเปลือกเจ้าหอมมะลิ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคาเพิ่มขึ้น ผลผลิตออกสู่ตลาดไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด

นางสาวทัศนีย์ เมืองแก้ว รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยถึงภาพรวมรายได้ของเกษตรกร วัดจากดัชนีรายได้เกษตรกรในเดือนพฤศจิกายน 2561 ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2560 ร้อยละ 4.96 โดยดัชนีราคาสินค้าเกษตรที่เกษตรกรขายได้ที่ไร่นาเดือนพฤศจิกายน 2561 ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2560 ร้อยละ 2.12 สินค้าที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้าหอมมะลิราคาเพิ่มขึ้นเนื่องจากผลผลิตออกสู่ตลาดไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ราคาเพิ่มขึ้นเนื่องจากผลผลิตออกสู่ตลาดไม่เพียงพอกับความต้องการของโรงงานอุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์ และมันสำปะหลังราคาเพิ่มขึ้นเนื่องจากผู้ประกอบการมีคำสั่งซื้อเพิ่มมากขึ้น และเป็นช่วงต้นฤดูการเก็บเกี่ยว หัวมันสำปะหลังเริ่มทยอยออกสู่ตลาด

สินค้าที่ราคาปรับตัวลดลง ได้แก่ ยางพารา ราคาลดลงเนื่องจากมีการชะลอซื้อขายในตลาดล่วงหน้า จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศเศรษฐกิจหลัก ปาล์มน้ำมันราคาลดลงเนื่องจากภาวะการค้าในประเทศ รวมทั้งการส่งออกชะลอตัว และไก่เนื้อ ราคาลดลง เนื่องจากผลผลิตไก่เนื้อออกสู่ตลาดมากขึ้น ขณะที่ความต้องการบริโภคมีไม่มากนัก

ด้านดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรเดือนพฤศจิกายน 2561 ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2560 ร้อยละ 2.90 ขณะที่แนวโน้มดัชนีรายได้เกษตรกรในเดือนธันวาคม 2561 คาดว่า แนวโน้มรายได้ของเกษตรกร ลดลงจากเดือนธันวาคม 2560 ร้อยละ 3.84 เป็นผลมาจากดัชนีผลผลิตที่ปรับตัวลดลง ร้อยละ 2.46 ทั้งนี้ สินค้าสำคัญที่มีผลผลิตออกมากในช่วงเดือนธันวาคม 2561 ได้แก่ ลำไย เนื่องจากเข้าสู่ฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตลำไยนอกฤดู

สังคม

17 ธ.ค. 61

องคมนตรี เยี่ยมชมงาน อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ำแห่งรัตนโกสินทร์ พร้อมเยี่ยมชมการออกร้านของมูลนิธิต่างๆ ภายในงาน

พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา องคมนตรี เดินทางมาเยี่ยมชมงาน อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ำแห่งรัตนโกสินทร์ ซึ่งจัดขึ้นที่บริเวณพระลานพระราชวังดุสิตและสนามเสือป่า เดินทางไปถวายสักการะ พระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จากนั้นเยี่ยมชมนิทรรศการพระมหากรุณาธิคุณต่อสายน้ำและการออกร้านของมูลนิธิต่างๆ ภายในงาน

ส่วนบรรยากาศการจัดงาน อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ำแห่งรัตนโกสินทร์ ล่าสุดมีประชาชนเดินทางมาเที่ยวชมงานอย่างต่อเนื่อง โดยมีตั้งแต่ที่เดินทางมาพร้อมกับครอบครัว เด็กและเยาวชนนักศึกษา และผู้สูงอายุ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ดูแลและอำนวยความสะดวกเป็นอย่างดี โดยประชาชนที่มาเที่ยวชมงานบอกว่ารู้สึกประทับใจที่ได้เดินทางมาเที่ยวชมงาน

นอกจากนี้ ยังมีการสาธิต การทำอาหารและขนมโบราณ จากหน่วยงานต่างๆอีกจำนวนมาก สำหรับประชาชนที่สนใจสามารถไปเที่ยวชมงาน อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ำแห่งรัตนโกสินทร์ ได้ที่ บริเวณพระลานพระราชวังดุสิตและสนามเสือป่า โดยงานจะจัดทุกวันไปจนถึงวันที่ 19 มกราคม 2562

นายกรัฐมนตรี ฝากนักเรียนในโครงการทุนการศึกษาพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ร่วมขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศ ย้ำทุกคนต้องมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาตนเอง

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดงานนิทรรศการและการประชุมเสวนา ในโอกาสครบรอบ 10 ปี โครงการทุนการศึกษาพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร หรือ ม.ท.ศ. และแสดงปาฐกถาพิเศษ เรื่อง เยาวชนกับการพัฒนาประเทศ

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีความภาคภูมิใจที่รัฐบาลเป็นส่วนหนึ่งในการสืบสาน โครงการทุนการศึกษาพระราชทาน ที่ผ่านมาโครงการประสบความสำเร็จจึงขอให้ทุกคนต้องน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และต้องยึดมั่นในพระราชปณิธาน สืบสาน รักษา ต่อยอด ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และพัฒนาตนเองเพื่อประเทศในอนาคต ทั้งนี้โลกกำลังก้าวเข้าสู่ดิจิทัล ทุกอย่างต้องมีการปรับตัว จึงฝากให้มีการเรียนการสอนเกี่ยวกับการพัฒนาในโลกดิจิทัล ขณะที่ครูต้องพัฒนาและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไปพร้อมกับนักเรียน และต้องมีพัฒนาคนทุกช่วงวัยให้มีความเหมาะสม รวมถึงนักเรียนทุกคนต้องพัฒนาตนเองให้เป็นคนมีความรู้ความสามารถ รู้จักกำหนดวิสัยทัศน์ของตนเอง เพื่อเดินหน้าไปสู่เป้าหมายและให้ทุกคนเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า วันนี้รัฐบาลทำทุกอย่างเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน นักลงทุน ผู้ประกอบการ และทุกคนต้องช่วยกันสร้างความเข้มแข็ง ซึ่งขณะนี้ประเทศกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านและหากทุกคนต้องการให้สังคมและประเทศเป็นอย่างไร ก็ต้องช่วยกันขับเคลื่อนไปด้วยกัน ทั้งนี้ขอให้ทุกคนตระหนักว่า ประเทศไทยคือบ้านไม่มีใครแก้ปัญหาได้ นอกจากคนไทยทุกคน นายกรัฐมนตรีหวังให้นักเรียนทุนทุกคนถือว่าเป็นคนที่เรียนดี ทำความเข้าใจและช่วยตนเอง ในการทำความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันการบิดเบือนข้อเท็จจริง

กระทรวงวัฒนธรรมจัด 13 กิจกรรมมอบความสุขคนไทยเนื่องในโอกาสส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่

นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่าเนื่องในโอกาสส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2562 กระทรวงวัฒนธรรมจัดกิจกรรมส่งมอบความสุขให้แก่ประชาชนรวม 13 กิจกรรม อาทิ กิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ถวายพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วโลก ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีธรรม ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 251 – 1 มกราคม 2562 เชิญชวนประชาชนรักษาศีล เจริญภาวนา ปฏิบัติธรรม ลด ละ เลิกอบายมุข ส่วนกลางจะมีริ้วขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปสำคัญที่ประดิษฐานทั้งในและต่างประเทศ 13 ประเทศ จากลานพลับพลา มหาเจษฎาบดินทร์ไปประดิษฐาน ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง จากนั้นจะอัญเชิญไปประดิษฐานให้ประชาชนสักการะ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ตั้งแต่วันที่ 1 - 15 มกราคม 2562

พร้อมกับเชิญประมุขสงฆ์ต่างประเทศ และรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลด้านศาสนาและวัฒนธรรมของต่างประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเข้าร่วมกิจกรรมสวดมนต์ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ส่วนศาสนาอื่นๆ กำหนดจัดกิจกรรม ณ ศาสนสถานต่างๆ ทั่วประเทศ กิจกรรมไหว้พระ 10 วัด สืบสิริสวัสดิ์ 10 รัชกาล กิจกรรมไหว้พระวังหน้า พระปฏิมาแห่งแผ่นดิน : นพปฏิมารัตนมารวิชัย อัญเชิญพระแก้วปางมารวิชัย ส่วนภูมิภาคได้อัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญประจำท้องถิ่นให้ประชาชนได้สักการะ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทุกแห่ง

นอกจากนี้ ยังมีการรณรงค์ส่งความสุขแบบไทยเป็นของขวัญปีใหม่ การแสดงด้านศิลปวัฒนธรรม เปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และอุทยานประวัติศาสตร์ทุกแห่งให้เข้าชมฟรี จัดทำโปสการ์ดพระพิฆเนศ และส่งมอบอวยพรอีการ์ด นิทรรศการศิลปะร่วมสมัย โครงการอ่านสร้างชาติ ซื้อหนังสือ ลดหย่อนภาษีได้ โดยในวันพรุ่งนี้ จะมีการจัดกิจกรรมรณรงค์เชิญชวนประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล

กระทรวงแรงงาน มอบของขวัญปีใหม่ 2562 5 สุข แก่ผู้ใช้แรงงาน ลูกจ้าง นายจ้าง และประชาชนทั่วประเทศ

พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานแถลงข่าว ของขวัญปีใหม่ 2562 จากกระทรวงแรงงาน เพื่อมอบให้แก่ผู้ใช้แรงงาน ลูกจ้าง นายจ้างและประชาชน โดยมีนายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงานและผู้บริหารระดับสูง ตลอดจนข้าราชการ เจ้าหน้าที่เข้าร่วมงาน ณ บริเวณชั้นล่าง อาคารกระทรวงแรงงาน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวแถลงข่าวว่า ของขวัญปีใหม่ที่กระทรวงแรงงานจะมอบให้ประชาชนทั่วประเทศในปี 2562 ภายใต้แนวคิด “คนไทยสุขสันต์ ของขวัญปีใหม่ 2562 จากใจกระทรวงแรงงาน” จำนวน 5 สุข ประกอบด้วย

"สุขจิต"ขยายความคุ้มครอง จากเดิมคุ้มครองลูกจ้างในสถานประกอบการจำนวน 10.5 ล้านคน กฎหมายฉบับใหม่ขยายความคุ้มครองไปยังลูกจ้างชั่วคราว พนักงานราชการ ลูกจ้างของสมาคม/มูลนิธิ องค์กรต่างประเทศ รวมกว่า 1 ล้านคน

"สุขใจ"ช่างประชารัฐในชุมชน โดยเตรียมช่างสาขาต่างๆ อาทิ ช่างไฟฟ้า ช่างประปา ช่างแอร์ ช่างซ่อมรถยนต์/รถจักรยานยนต์ ช่างปูกระเบื้องจำนวนกว่า 14,000 คน เพื่อให้บริการประชาชนกว่า 81,000 ชุมชน อัตราค่าบริการในราคาย่อมเยา

"สุขสบาย" รักษาได้ทุกโรงพยาบาล สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่มีนายจ้างและมาตรา 39 ที่เคยมีนายจ้างแต่ลาออกและกลับมาสมัครใหม่ รวมกว่า 13 ล้านคน หากเจ็บป่วยฉุกเฉิน วิกฤต สามารถใช้สิทธิรักษาได้ทุกโรงพยาบาลรัฐและเอกชนทั่วประเทศ โดยใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียว ภายใน 72 ชั่วโมงแรก และส่งเสริมบริการตรวจสุขภาพประจำปีในสถานประกอบการทั่วประเทศ

"สุขล้น"คนไทยมีงานทำ โดยเตรียมตำแหน่งงานว่าง 95,000 อัตรา แบ่งเป็นในประเทศกว่า 50,000 อัตรา ต่างประเทศกว่า 45,000 อัตรา เพิ่มช่องทางการเข้าถึงตำแหน่งงานว่างผ่านตู้งาน (Job Box) 500 ตู้ และแอปพลิเคชัน

"สุขหรรษา" ส่งเสริมการพัฒนาทักษะออนไลน์ โดยเรียนรู้ผ่าน You Tube กว่า 174 เรื่อง และสมัครอบรมพัฒนาทักษะ 4.0 กว่า 286 หลักสูตร โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน 1506 ตลอด 24 ชั่วโมง

ทั้งนี้ ภายในงานแถลงข่าว ยังมีบริการตรวจสุขภาพจากในเครือข่ายประกันสังคม เพื่อให้บริการตรวจสุขภาพ โดยมีรถเอ็กซเรย์ เครื่องมืออุปกรณ์ในการตรวจ ห้องปฏิบัติการ รถโมบายเอ็กซเรย์ โดยให้บริการตรวจสุขภาพ ตั้งแต่การซักประวัติตรวจสุขภาพทั่วไป ตรวจสายตา คัดกรองการได้ยิน ตรวจสุขภาพช่องปาก ตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ น้ำตาลในเลือด เอ็กซเรย์ทรวงอกโดยรถโมบายเคลื่อนที่ ตรวจมะเร็งปากมดลูก คัดกรองมะเร็งเต้านม พบแพทย์ รับฟังผลและให้คำแนะนำเบื้องต้น เป็นต้น

18 ธ.ค. 61

นายกรัฐมนตรี พร้อมภริยา เยี่ยมชมงานอุ่นไอรักคลายความหนาว พร้อมร่วมสนุกช้อนมัจฉาพาโชค

เมื่อเวลา 17.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. พร้อมนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา นำคณะรัฐมนตรีพร้อมคู่สมรสไปเยี่ยมชมงาน อุ่นไอรัก คลายความหนาว "สายน้ำแห่งรัตนโกสินทร์" บริเวณพระลานพระราชวังดุสิตและสนามเสือป่า โดยได้แต่งกายด้วยผ้าไทยย้อนยุคอย่างพร้อมเพรียง

นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรีและคู่สมรส ถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือพระบรมรูปทรงม้า รัชกาลที่ 5 จากนั้นร่วมถ่ายภาพเป็นที่ระลึกบริเวณพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ ก่อนเดินชมนิทรรศการเริ่มจากนิทรรศการมหากรุณาธิคุณแห่งสายน้ำ นิทรรศการรัชกาลที่ 1-9 นิทรรศการน้ำกับชีวิต 3 มิติ นิทรรศการบ้านประหยัดพลังงาน ซึ่งระหว่างเดินเยี่ยมชมได้กล่าวทักทายและถ่ายรูปร่วมกับประชาชนที่มาเที่ยวงานอุ่นไอรัก

จากนั้นเยี่ยมชมร้านค้าในพระบรมวงศานุวงศ์ ร้านค้าจิตอาสา 904 ตลาดน้ำในฝันและตลาดบกวิถี 4 ภาค โดยได้ชิมอาหารร้านต่างๆ ที่มาออกร้านจำหน่ายด้วย จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้ร่วมสนุกช้อนมัจฉาพาโชค โดยจับได้กระเป๋าอุ่นไอรัก ก่อนเดินทางกลับนายกรัฐมนตรีพร้อมภริยาได้เยี่ยมชมสถานีตำรวจและลงบันทึกประจำวันเป็นที่ระลึกด้วย

19 ธ.ค. 61

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระคติธรรมเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ 2562

สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เผยแพร่ข้อความบัตรอวยพร เนื่องในอภิลักขิตสมัยขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2562 ความว่า สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก โปรดประทานพระรูป ฉายเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2561 ณ ตำหนักอรุณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร ประทับพระเก้าอี้สำหรับเจ้าอาวาส ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เป็นเครื่องสังเค็ดงานพระเมรุ สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา พระสนมเอกในรัชกาลที่ 4 พระอัยยิกาในรัชกาลที่ 6 และในรัชกาลที่ 7 พระปัยยิกาในรัชกาลที่ 8 และในรัชกาลที่ 9 พร้อมกันนี้ ได้มีลายพระหัตถ์เชิญพระพุทธศาสนสุภาษิต ว่า “ขนฺติ หิตสุขาวหา ความอดทนนำมาซึ่งประโยชน์สุข” เป็นพระคติธรรม ประทานพรสำหรับความสุขปีใหม่ พุทธศักราช 2562

รมว.แรงงาน ห่วงใยผู้ประสบอุทกภัยพื้นที่ภาคใต้ กำชับหน่วยงานในสังกัดบูรณาการทำงานร่วมกัน

พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่าจากสถานการณ์อุทกภัยในจังหวัดนครศรีธรรมราชและหลายจังหวัดในภาคใต้ ส่งผลให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนและผลกระทบเป็นจำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลโดยกระทรวงแรงงาน มีความห่วงใยประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว จึงมีแนวทางการฟื้นฟูเยียวยาและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้

โดยเตรียมแผนการช่วยเหลือ ทั้งระยะก่อนเกิดภัย ระยะเกิดภัย และระยะฟื้นฟู โดยระยะก่อนเกิดภัย ได้จัดเตรียมแรงงานที่มีความรู้ทางเทคนิคเพื่อประโยชน์ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ระยะเกิดภัย ตรวจสอบข้อมูลแรงงานที่ได้รับผลกระทบเพื่อให้การช่วยเหลือคุ้มครองและเรียกร้องสิทธิตามกฎหมาย และระยะฟื้นฟู ได้เตรียมการฝึกอาชีพและจัดหางานให้ผู้ประสบภัย

ทั้งนี้ กรณีนายวีรศักดิ์ โปยิ้ม ซึ่งเป็นผู้เสียชีวิตในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช สำนักงานประกันสังคมได้เข้าไปตรวจสอบสิทธิประโยชน์แล้ว พบว่า เคยเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ในปี 2554 และสิ้นสุดสภาพการเป็นผู้ประกันตนในเดือนเมษายน 2555 มีเงินกรณีชราภาพ 420.60 บาท

ทั้งนี้ สำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครศรีธรรมราช สาขาสิชล จะลงพื้นที่พบทายาทเพื่อมอบเงินจำนวนดังกล่าวในวันที่ 20 ธันวาคมนี้ อย่างไรก็ตาม ได้มอบหมายให้อาสาสมัครแรงงานในพื้นที่ประสานผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่เพื่อสำรวจความต้องการความช่วยเหลือภายใต้โครงการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านอาชีพ

20 ธ.ค. 61

สำนักงานประกันสังคม เปิดโอกาสให้ผู้ประกันตนเปลี่ยน รพ. ประจำปี 2562 เริ่มตั้งแต่วันนี้ - 31 มี.ค.2562

นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า สำนักงานประกันสังคมได้เปิดให้ผู้ประกันตนสามารถแจ้งขอเปลี่ยนแปลงสถานพยาบาลประจำปี 2562 ได้แล้วตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 มีนาคม 2562

สำหรับในปี 2562 มีสถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการประกันสังคมทั่วประเทศ จำนวน 237 แห่ง แบ่งเป็นโรงพยาบาลรัฐบาล 159 แห่ง สถานพยาบาลเอกชน 78 แห่ง หากผู้ประกันตนประสงค์จะเปลี่ยนสถานพยาบาลสามารถมายื่นแบบเลือกสถานพยาบาลในการรับบริการทางการแพทย์ สปส. 9-02 ได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขาทุกแห่งทั่วประเทศ หรือทำรายการผ่านเว็บไซต์ www.sso.go.th และทำรายการผ่าน Applications SSO Connect ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2562

ทั้งนี้ การเลือกสถานพยาบาลในแต่ละครั้งขอแนะนำให้ผู้ประกันตนควรเลือกด้วยตนเองโดยให้คำนึงถึงความสะดวก ความพึงพอใจและประโยชน์ในการขอรับบริการ ทางการแพทย์ และสถานพยาบาลที่เลือกจะต้องเป็นสถานพยาบาลในจังหวัดที่ผู้ประกันตนทำงานอยู่ หรือพักอาศัยในเขตรอยต่อของจังหวัดดังกล่าว

เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวอีกว่า สำหรับการใช้สิทธิการรักษาพยาบาล ในสถานพยาบาลที่ผู้ประกันตนเลือกไว้ สามารถนำบัตรประชาชนไปติดต่อขอรับบริการทางการแพทย์ได้ ณ สถานพยาบาลที่ตนเองมีสิทธิการรักษาพยาบาลได้ทันที กรณีคนต่างด้าวที่เป็นผู้ประกันตนต้องแสดงบัตรประกันสังคมและหนังสือเดินทาง (Passport) หรือบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย

ผู้ประกันตน สามารถตรวจสอบสิทธิการรักษาพยาบาลได้ที่ www.sso.go.th หรือโทรสายด่วน 1506 สำนักงานประกันสังคมทุกแห่งทั่วประเทศ และเครื่อง Smart kiosk ของกระทรวงมหาดไทย หากผู้ประกันตนมีข้อสงสัยติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานประกันสังคมทุกแห่ง หรือโทรสายด่วน 1506 ให้บริการ 24 ชั่วโมง

แพทย์ชี้ เด็กก็เป็นโรคเส้นเลือดในสมองแตกได้ แนะผู้ปกครองควรสังเกตอาการหากพบว่าเด็กปวดศีรษะมาก คลื่นไส้ อาเจียน แขนขาอ่อนแรง อย่านิ่งนอนใจรีบพาพบแพทย์ทันที

นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคเส้นเลือดในสมองแตก เกิดจากความดันโลหิตสูง เป็นภาวะที่สมองขาดเลือด เนื่องจากหลอดเลือดตีบตัน อุดตัน จนหลอดเลือดแตก ส่งผลให้เนื้อเยื่อในสมองถูกทำลายจนทำให้การทำงานของสมองหยุดชะงัก ทั้งนี้ไม่มีสัญญาณเตือน แต่อาจพบอาการปวดศีรษะเป็นพักๆ แล้วหายไป ซึ่งความรุนแรงของเลือดที่ออกในสมองขึ้นอยู่กับตำแหน่งของความผิดปกติที่พบ หากเป็นความผิดปกติของสมองที่อยู่ด้านบน จะมีอาการปวดศีรษะ แขนขาอ่อนแรง หรือมีอาการชัก ถ้าปวดบริเวณท้ายทอยด้านหลัง ซึ่งเป็นบริเวณที่ใกล้กับก้านสมอง จะมีอาการปวดศีรษะ อาเจียน และหมดสติ ส่งผลให้เสียชีวิตได้

โรคเส้นเลือดในสมองแตกส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นกับวัยผู้ใหญ่ แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ในเด็กเช่นกัน อาการที่พบมีความแตกต่างจากผู้ใหญ่ เนื่องจากอาจมีเส้นเลือดผิดปกติ หรือภาวะเลือดออกในสมองจากการที่เส้นเลือดเจริญเติบโตผิดปกติ

ด้านนายแพทย์สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคเส้นเลือดในสมองแตกในเด็ก เกิดจากความผิดปกติใน 3 ระบบ คือ เส้นเลือดผิดปกติในสมองแล้วแตกเอง ซึ่งสามารถพบได้น้อย ภาวะที่มีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด หรือกลุ่มโรคทางพันธุกรรม ฮีโมฟีเลีย หรือโรคเลือดไหลไม่หยุด ทำให้มีอาการเลือดออกง่ายและหยุดยาก และภาวะที่สมองได้รับการกระทบกระเทือนจนเส้นในสมองฉีกขาด เช่น โยก โยน จับสั่น เขย่าแรงๆ อาจทำให้เกิดภาวะเลือดออกในสมองได้

สำหรับวิธีสังเกตอาการเบื้องต้น สามารถสังเกตอาการได้จากบริเวณศีรษะของเด็ก ถ้ากระหม่อมบวมตึง ร้องกวนมากกว่าปกติ ทานนมได้น้อย ปวดศีรษะ ซึมลง คลื่นไส้ อาเจียน ควรให้ทานยาแก้ปวด และให้นอนพัก โดยหมั่นสังเกตอาการเป็นระยะๆ ถ้าเด็กยังมีอาการปวดศีรษะควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยต่อไป แต่หากเป็นกลุ่มเด็กที่เป็นโรคฮีโมฟีเลีย ถ้ามีอาการปวดศีรษะ หรือได้รับการกระแทกเพียงเล็กน้อย ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์โดยด่วน

ข้อมูลข่าวและที่มา
จำนวนผู้เข้าชม : 4449
ผู้สื่อข่าว : ธนพิชฌน์ แก้วกา
Rewriter : ธนพิชฌน์ แก้วกา
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th