ค้นหา :

ประมวลข่าวทั่วไทยประจำวันที่ 21 ธันวาคม 2561
ประมวลข่าวทั่วไทยประจำวันที่  21  ธันวาคม 2561
PICTURE
แหล่งที่มา : สำนักข่าว
วันที่ข่าว : 21 ธันวาคม 2561

ประมวลข่าวทั่วไทยประจำวันที่ 21 ธันวาคม 2561


ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพรปีใหม่แก่ปวงชนชาวไทยทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ว่า สัปดาห์หน้าจะเป็นช่วงหยุดยาว “เทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ จึงขอเชิญพรปีใหม่ พุทธศักราช 2562 ซึ่งสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานแก่พุทธศาสนิกชนและพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา อันเป็นพระคติธรรม โดยเชิญพุทธศาสนสุภาษิต ความว่า “ขันติ หิตสุขาวหา ความอดทน นำมาซึ่งประโยชน์สุข” เพื่อให้เป็นสิริมงคลชีวิตแก่ตนเองและครอบครัว โดยการน้อมนำ ยึดถือ เป็นแนวทางปฏิบัติ ให้มีความมุ่งมั่น ไม่ย่อท้อและขอให้ผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ นานาในปีนี้ ก้าวสู่ความสงบ ความสุข สดใส และประสบความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปในปีหน้าทุกๆ คน

ในการนี้ รัฐบาลขอเชิญชวนประชาชน เข้าร่วมกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ถวายพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วโลก ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีธรรม พ.ศ.2562 ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2561 – 1 มกราคม 2562 ทุกวัดทั่วประเทศและสถานที่อื่นๆ ที่เหมาะสม เพื่ออุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช และถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ รวมทั้งเพื่อให้ประชาชนทุกพื้นที่ รักษาศีลเจริญภาวนา ปฏิบัติธรรมและสวดมนต์ เป็นสิริมงคลให้ประเทศไทย ครอบครัวและตนเอง ตลอดจนเป็นแรงจูงใจให้ประชาชน “ลด ละ เลิกอบายมุข” ช่วงเทศกาลปีใหม่และตลอดไป

นายกรัฐมนตรี ย้ำ รัฐบาลเดินหน้าลดความเหลื่อมล้ำในสังคมอย่างต่อเนื่อง

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการกระจายรายได้สู่ประชาชนอย่างทั่วถึง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยสิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการไปแล้ว แบ่งเป็นกลุ่มมาตรการใน 2 รูปแบบ คือ การจัดสรรสวัสดิการเพื่อประชาชน ให้กลุ่มต่างๆ เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ด้อยโอกาส รวมถึงเกษตรกรและยังมีการให้ความช่วยเหลือพิเศษกับผู้ประสบปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะผู้ประสบภัยและผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาชายแดนภาคใต้ และอีกรูปแบบ คือ การเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจและการเข้าถึงปัจจัยขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิต เช่น โครงการลดค่าครองชีพของประชาชน โดยสวัสดิการเหล่านี้ ในปัจจุบันมีรวมกันมากกว่า 40 โครงการ ดูแลประชาชน “ตั้งแต่เกิด จนเสียชีวิต” และการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาด้านต่างๆ อีก 12 สวัสดิการ ซึ่งเป็นการให้ความมั่นใจถึงแนวทางแก้ปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำ ให้เกิดผลอย่างต่อเนื่องยั่งยืน

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ล่าสุดหน่วยงานต่างๆ รวม 11 หน่วยงาน ได้ร่วมลงนามในบันทึกความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการจัดทำข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อนำมาใช้ในการกำหนดนโยบาย มาตรการต่างๆ รวมถึงติดตามประเมินผลการจัดสวัสดิการภาครัฐพร้อมกับนำระบบบริหารการจัดการข้อมูลแบบชี้เป้า (TPMAP) เพื่อให้รัฐบาลสามารถช่วยเหลือและดูแลประชาชนอย่างตรงจุด และหลังจากนี้จะมีการพัฒนาระบบ Application “สวัสดิการแห่งรัฐ สร้างสุขทุกช่วงวัย” ให้ประชาชนรับทราบถึงสิทธิ และเป็น One Stop Service (OSS) ในการติดต่อสอบถามเกี่ยวกับสวัสดิการแห่งรัฐทั้งหมด

นายกรัฐมนตรี ดีใจปริมาณนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นตามเป้า ขอให้คนไทยเป็นเจ้าบ้านที่ดี

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยวางมาตรการเชิญชวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศกว่า 30 ล้านคนต่อปี โดยปริมาณนักท่องเที่ยวชาวจีนมีสัดส่วนถึง 1 ใน 3 ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด

จากข้อมูลสถิติพบปีนี้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาแล้วมากกว่า 10 ล้านคน คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 5 – 7 สามารถสร้างรายได้ภาคการท่องเที่ยวมากกว่า 590,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 – 12 โดยส่วนใหญ่เดินทางมาเที่ยวเมืองไทยมากกว่า 1 ครั้ง เพราะความประทับใจในความสวยงามและไทยเป็นประเทศแห่งความสุข ทำให้ตนเองรู้สึกดีใจที่ไทยสามารถทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกอบอุ่นในการมาท่องเที่ยวในไทย ขอให้ทุกคนเป็นเจ้าบ้านที่ดี สิ่งสำคัญคนไทยใช้ภาษาจีนและอังกฤษได้ดีจึงเป็นส่วนช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับบ้านเมือง

นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำ ถึงการดำเนินโครงการ “ศิลปกรรมชุมชน” ว่า จะเน้นสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนและชุมชนผ่านการสร้างงานศิลปะ ซึ่งเป็นทุนทางวัฒนธรรม หรือวัฒนธรรมกินได้ สามารถต่อยอดเชิงพาณิชย์และการท่องเที่ยวชุมชนต่อในอนาคต ถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการสร้างศิลปะของไทยที่ผ่านกระบวนการคิดและสร้างสรรค์ ที่มีประชาชนและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนอย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้แนวคิด “ร่วมแรง ร่วมใจ สร้างไทยไปด้วยกัน” ในเบื้องต้นจะนำร่องใน 31 พื้นที่ 22 จังหวัดทั่วประเทศ

นายกรัฐมนตรี ขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพในช่วงนี้ ที่มีสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในช่วงสุดท้ายของรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ว่า ช่วงนี้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศจะเย็นลง ส่วนภาคใต้ฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนตกหนักบางพื้นที่ ขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพ

ส่วนช่วงเทศกาลปีใหม่สัปดาห์หน้า หากต้องเดินทางกลับภูมิลำเนา หรือท่องเที่ยว ขอให้พักผ่อนให้เพียงพอ ตรวจสอบสภาพรถและเส้นทางก่อนเดินทาง สำหรับชาวกรุงเทพฯ ที่ไม่มีโปรแกรมไปไหน ขอแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว “วันเดียว” ในจังหวัดใกล้เคียง เช่น จังหวัดอ่างทอง มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในโลก พิพิธภัณฑ์ตุ๊กตาชาววังบ้านเสด็จ ร้านกาแฟบรรยากาศบ้านไร่ ปลายนา หรือฟาร์มเมล่อนกว่า 10 สายพันธุ์ หรือจังหวัดสิงห์บุรี ตำนานชาวบ้านบางระจัน และอยากให้เยาวชนสัมผัสตลาดย้อนยุคบ้านบางระจันและวัดโพธิ์เก้าต้นในตำนาน ตลาดเก่าแก่ ตลาดต้องชม และตลาดประชารัฐอีกหลายแห่ง รวมทั้งเทศกาลกินปลา ของดีเมืองสิงห์ ระหว่างวันที่ 25 ธันวาคม – วันที่ 3 มกราคมปีหน้า จึงอยากให้ไปเที่ยว ไปชิม ช่วยกระจายรายได้และสัมผัสวิถีไทยใกล้กรุงเทพฯ ดูบ้าง

การเมือง/มั่นคง

นายกรัฐมนตรี วางศิลาฤกษ์การก่อสร้างหอประชุมกองทัพบกแห่งใหม่ สำหรับตอบสนองภารกิจที่หลากหลาย รองรับการประชุมระดับประเทศและระดับนานาชาติ

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์การก่อสร้างหอประชุมกองทัพบกในพื้นที่แห่งใหม่ บริเวณถนนประดิษฐ์มนูญธรรม เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร โดยมีพลเอก อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ร่วมในพิธี โดยมีพระสงฆ์ 9 รูป ทำพิธีเจริญพระพุทธมนต์และมีพิธีพราหมณ์บวงสรวงเทวดาและวางแผ่นศิลาฤกษ์

หอประชุมกองทัพบกเดิมตั้งอยู่ที่เขตเทเวศน์มาตั้งแต่ปี 2500 ซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมสำคัญของกองทัพบกมาตลอด 58 ปี และเมื่อปี 2558 กองทัพบกได้จัดทำโครงการจัดทำหอประชุมกองทัพบกแห่งใหม่ทดแทนหลังเดิมที่ทรุดโทรม ตามระยะเวลาการใช้งาน เพื่อให้สามารถรองรับภารกิจและใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ตลอดจนมีความสง่างามมากยิ่งขึ้น สอดคล้องและเหมาะสมกับบทบาทหน้าที่การดำเนินงานของกองทัพบกและสอดคล้องกับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานโฉนดที่ดินในเขตวังทองหลางกรุงเทพมหานคร ให้ใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างอาคารหอประชุมกองทัพบกแห่งใหม่ และอาคารโครงการพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่าเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน ที่นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมอย่างหาที่สุดมิได้

อาคารหอประชุมกองทัพบกแห่งใหม่ มีรูปแบบ สถาปัตยกรรมภายนอก แบบผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมไทยและสถาปัตยกรรมตะวันตก มีการปรับภูมิทัศน์อ้างอิงกับประวัติศาสตร์ โดยมีลักษณะเป็นอาคารขนาดใหญ่มีความสูง 3 ชั้นมีชั้นใต้ดิน 1 ชั้น รวม 4 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอยรวม 78,811 ตารางเมตร เป็นการออกแบบเพื่อการใช้งานเป็นจำนวนมากพร้อมกัน ตอบสนองภารกิจที่หลากหลาย รองรับการประชุมระดับประเทศและระดับนานาชาติ การจัดแสดงนิทรรศการการ จัดพิธีสำคัญและงานรัฐพิธีที่อยู่ในความรับผิดชอบของกองทัพบกและหน่วยราชการอื่นๆ โดยมีกำหนดเริ่มดำเนินการก่อสร้างภายในเดือนธันวาคม 2561

กระทรวงมหาดไทย ชู โครงการ "ไทยนิยมยั่งยืน" ช่วยขับเคลื่อนกิจกรรมในระดับพื้นที่ผ่านทีมขับเคลื่อนตำบล

นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงภาพรวมการขับเคลื่อนโครงการ "ไทยนิยมยั่งยืน" เพื่อพัฒนาประเทศ ว่า ช่วงแรกของการดำเนินโครงการไทยนิยมยั่งยืนในรอบปี 2561 ที่ผ่านมา เป็นช่วงของการลงพื้นที่โดยทีมขับเคลื่อนตำบลเพื่อสำรวจความต้องการจากพี่น้องประชาชน ขณะเดียวกันก็นำความรู้ไปสู่ประชาชนเพื่อขับเคลื่อนกิจกรรมในช่วงที่สองต่อไปภายใต้งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2561 โดยบางแผนงานดำเนินการแล้วเสร็จ ส่วนบางแผนงานอยู่ระหว่างดำเนินการ

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมได้ดำเนินการกิจกรรมเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ขณะที่การดำเนินโครงการชุมชนท่องเที่ยวโอทอปนวัตวิถี ประสบความสำเร็จด้วยดี สามารถพัฒนาหมู่บ้านให้มีความรู้และมีความพร้อมในการบริหารจัดการนักท่องเที่ยว ตลอดจนสินค้าโอทอปของหมู่บ้านได้อย่างมีคุณภาพ

รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวย้ำว่า การมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนคือหัวใจสำคัญสำหรับการปฏิบัติงานของส่วนราชการเพื่อขับเคลื่อนงานต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาสังคม ในลักษณะแนวทางประชารัฐ

การแก้ไขกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญให้ใช้พรรคเดียวเบอร์เดียวในการเลือกตั้ง ไม่น่าจะทันกรอบเวลาการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข้อเรียกร้องของพรรคการเมืองที่ต้องการให้ใช้มาตรา 44 แก้ไขกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้ใช้พรรคเดียวเบอร์เดียวในการสมัครรับเลือกตั้ง ว่า นายกรัฐมนตรี พูดชัดเจนแล้วว่าจะไม่ใช้ มาตรา 44 และการจะแก้ไขกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญได้ คือ คณะรัฐมนตรี หรือองค์กรที่รักษาการตามกฎหมายนั้นเป็นผู้เสนอ คือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแก้ขณะนี้ไม่น่าจะทันกรอบเวลาการเลือกตั้ง ที่วางโรดแมปไว้ เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดขั้นตอนการแก้ไขเอาไว้ค่อนข้างยุ่งยากมาก โดยเมื่อเสนอมาแล้วจะต้องดำเนินการตามมาตรา 77 ก่อนเสนอมายังรัฐบาลและกฤษฎีกา เมื่อพิจารณาเสร็จแล้วจึงเสนอเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. แต่กว่าจะถึงกระบวนการดังกล่าว สนช. ก็หยุดพิจารณากฎหมายแล้ว

นายวิษณุ กล่าวถึงการจัดงานระดมทุนของพรรคการเมือง ว่า หน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจและองค์กรที่รัฐบาลเข้าไปมีหุ้นส่วน ไม่สามารถเข้าไปบริจาคเงินให้กับพรรคการเมืองได้ นอกจากภาคเอกชนเท่านั้น ซึ่งเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งจะเป็นผู้ตรวจสอบ ส่วนที่มีโหรสำนักต่างๆ ออกมาทำนายว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ กล่าวว่าสามารถพูดได้แม้ จะมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งแล้ว เพราะเหมือนเป็นการคาดเดา แต่หากเป็นการสำรวจของโพลล์ สำนักต่างๆ ที่เป็นสำรวจความคิดเห็นของประชาชน จะทำได้เฉพาะในช่วงก่อนมีพระราชกฤษฎีกาเท่านั้น หลังจากมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งแล้วไม่สามารถทำได้เพราะเป็นการอ้างถึงการสำรวจจากประชาชน

เศรษฐกิจ/ท่องเที่ยว

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระบุ GDP เกษตร ตลอดปี 2561 โต 4.6%

นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวพอใจภาวะเศรษฐกิจการเกษตรปี 2561 ที่พบว่าขยายตัวร้อยละ 4.6 เมื่อเทียบกับปี 2560 โดยสาขาพืช สาขาปศุสัตว์ สาขาบริการทางการเกษตรและสาขาป่าไม้ ขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่วนสาขาประมงหดตัวลง ซึ่งปัจจัยบวกเป็นผลจากการมุ่งเน้นการปฏิรูปภาคเกษตรด้วยหลักการตลาดนำการผลิตควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมทั้งปริมาณน้ำและสภาพอากาศยังคงเอื้ออำนวยต่อการผลิตทางการเกษตร ทำให้พืชส่วนใหญ่เจริญเติบโตได้ดีและมีผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น

สำหรับผลผลิตพืชที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวนาปรัง มีผลผลิตเพิ่มขึ้นเนื่องจากปริมาณน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติอยู่ในเกณฑ์ดี เกษตรกรสามารถเพาะปลูกข้าวได้สองรอบตามปกติ ราคาข้าวที่เพิ่มขึ้น จึงขยายเนื้อที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้น ด้านยางพารามีผลผลิตเพิ่มขึ้นเนื่องจากในปี 2553 - 2555 ราคายางพาราที่เกษตรกรขายได้อยู่ในเกณฑ์ดี จูงใจให้เกษตรกรขยายพื้นที่ปลูกยางพาราแทนพื้นที่พืชไร่ ส่วนปาล์มน้ำมันมีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นปาล์มน้ำมันปลูกใหม่ในปี 2558 เริ่มให้ผลได้ในปีนี้ และในช่วง 1 - 2 ปี ที่ผ่านมามีปริมาณน้ำฝนและสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยทำให้ต้นปาล์มสมบูรณ์มีจำนวนทะลายเพิ่มขึ้น ในส่วนของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มีผลผลิตเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาที่เกษตรกรขายได้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จูงใจให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูก ทำให้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มีราคาเพิ่มขึ้นเนื่องจากความต้องการของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ขยายตัวขึ้น รวมทั้งการดำเนินมาตรการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคา

ขณะที่ นางสาวทัศนีย์ เมืองแก้ว รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กล่าวว่าแนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรในปี 2562 คาดว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 2.5 – 3.5 โดยทุกสาขายังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปัจจัยสนับสนุนการดำเนินนโยบายด้านการเกษตรเพื่อปฏิรูปภาคเกษตรอย่างต่อเนื่อง และสภาพอากาศโดยทั่วไปประกอบกับปริมาณน้ำที่ยังคงเอื้ออำนวยต่อการผลิตทางการเกษตร

หูไวตาไว คิดแผนล่วงหน้าแนะเกษตรกรควรปลูกอะไรดีที่สุด ทบทวนตัวเลขให้แม่นยำเที่ยงตรงเชื่อถือได้ ช่วยลดความเสี่ยงให้เกษตรกร

นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดการสัมมนาภาวะเศรษฐกิจการเกษตร ปี 2561 และแนวโน้มปี 2562 "โลกเปลี่ยน เกษตรปรับ เกษตรกรปรับเปลี่ยน" ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ ถึงการนำเสนอข้อมูลของหน่วยงานสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร หรือ สศก. ให้เป็นไปอย่างเที่ยงตรง แม่นยำ

โดยให้มีการทบทวนตัวเลขให้รอบคอบเพื่อความถูกต้อง เช่นการวิเคราะห์ว่าเกษตรกรควรปลูกพืชใดทดแทนยางพารา การทำเกษตรแปลงใหญ่ลดต้นทุนไปได้เท่าใด เกษตรกรจะมีรายได้มากขึ้นเท่าใด พร้อมแนะปี 2562 ข้าราชการต้องปรับเปลี่ยนมาร่วมพัฒนาภาคการเกษตรร่วมกับเกษตรกร และยกระดับระบบสหกรณ์การเกษตรให้เป็นเชิงพาณิชย์มากขึ้น

นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังกล่าวอีกว่า การควบคุมปริมาณผลผลิตได้จะทำให้ราคาสินค้าภาคการเกษตรมีเสถียรภาพ เช่นกรณีการปรับลดพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ รวมถึงการเจรจาร่วมมือกับผู้ประกอบการลดต้นทุนด้านปัจจัยการผลิตของเกษตรกรโดยเฉพาะปุ๋ยให้มีราคาถูกลง เพื่อช่วยลดภาระแก่เกษตรกร

สังคม

รัฐมนตรี 2 กระทรวงของอิสราเอล รับจะดูแลแรงงานไทยเป็นอย่างดี ทั้งสวัสดิการและค่าจ้างตามกฎหมาย

พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยนายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน นางเพชรรัตน์ สินอวย อธิบดีกรมการจัดหางาน และคณะ หารือกับนายอาเรียห์ เดรี่ (Mr.Aryeh Deri) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอิสราเอล ณ ห้องประชุมกระทรวงมหาดไทยอิสราเอล กรุงเยรูซาเร็ม

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอิสราเอลที่ให้โอกาสเข้าพบหารือและขอบคุณรัฐบาลอิสราเอลที่ได้เปิดโอกาสให้แรงงานไทยจำนวนมากเข้ามาทำงานในประเทศอิสราเอลช่วงกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ทำให้สามารถสร้างรายได้ส่งเงินกลับประเทศไทยเพื่อจุนเจือครอบครัว ได้รับประสบการณ์และการเรียนรู้เทคโนโลยีภาคเกษตรชั้นสูงของอิสราเอล ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการกลับไปเริ่มต้นการเป็นผู้ประกอบการ Start up ด้านการเกษตร ช่วยขับเคลื่อนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล รวมทั้งขอบคุณ PIBA ที่ได้ดูแลและคุ้มครองแรงงานไทยร่วมกับฝ่ายแรงงานฯ มาโดยตลอด

ขณะที่ผลการหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของอิสราเอล ซึ่งรัฐบาลอิสราเอลได้ผ่านสภาเห็นชอบให้มีการจัดตั้งกองทุนปิซูอิม ที่กำหนดให้นายจ้างจ่ายเงินเข้ากองทุน เมื่อคนงานทำงานครบสัญญาจ้างงาน จะได้รับเงิน 1 เดือนต่อการทำงานครบ 1 ปี ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของอิสราเอลยืนยันที่จะดูแลสวัสดิการ สุขภาพ ที่พักอาศัยของแรงงานไทย โดยจะเพิ่มเจ้าหน้าที่ตรวจสอบนายจ้างให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ส่วนปัญหายาเสพติด ทั้งสองประเทศจะเข้มงวดตรวจสอบแรงงานไทยทั้งก่อนเดินทางและหลังจากเดินทาง ขณะเดียวกัน ทางการอิสราเอลรับที่จะพิจารณาในการเพิ่มโควตานำเข้าแรงงานไทยไปทำงานในอิสราเอลเพิ่มขึ้นอีกด้วย

นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ยังได้กำชับเจ้าหน้าที่ดูแลคุ้มครองแรงงานไทย โดยขอให้ดำเนินการต่อนายจ้างที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย และให้มีการ Black list ต่อนายจ้างที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายด้วย ส่วนประเด็นสลิปเงินเดือนจะบังคับให้บริษัทจัดหางานจัดทำเป็นภาษาไทยให้คนงานได้รับทราบและเข้าใจ

กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ตรวจพบค่าฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑลเกินค่ามาตรฐานมีผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเฉพาะริมถนนดินแดง

กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ตรวจพบค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลเกินค่ามาตรฐานมีผลกระทบต่อสุขภาพ 3 พื้นที่ โดยเฉพาะริมถนนดินแดง เขตดินแดงและริมถนนคู่ขนานพระราม 2 อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ

สถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ตรวจวัดสถานการณ์ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 พื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลวันนี้ (21 ธ.ค.61) ภาพรวมคุณภาพอากาศอยู่ในระดับคุณภาพปานกลางถึงมีผลกระทบต่อสุขภาพ

โดยพบสารมลพิษทางอากาศที่ตรวจพบเกินมาตรฐาน คือ ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ตรวจพบค่าระหว่าง 55 - 103 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เกินมาตรฐานมีผลกระทบต่อสุขภาพและปริมาณฝุ่นละอองมีแนวโน้มสูงขึ้น 3 พื้นที่ คือ ริมถนนดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร อยู่ที่ 97 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ตำบลทรงคนอง อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ อยู่ที่ 96 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และสูงสุดบริเวณริมถนนคู่ขนานพระราม 2 อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ อยู่ที่ 103 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

ส่วนอีก 14 พื้นที่ เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ คือ บริเวณริมถนนกาญจนาภิเษก เขตบางขุนเทียน แขวงบางนา เขตบางนา แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ แขวงดินแดง เขตดินแดง ริมถนนพระราม 4 เขตปทุมวัน ริมถนนอินทรพิทักษ์ เขตธนบุรี ริมถนนลาดพร้าว เขตวังทองหลาง ริมถนนดินแดง เขตดินแดง แขวงพญาไท เขตพญาไท ตำบลนครปฐม อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง ปทุมธานี ตำบลทรงคนอง อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ตำบลตลาด อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ตำบลบางเสาธง อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ ริมถนนคู่ขนานพระราม 2 อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ

ทั้งนี้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ที่คุณภาพอากาศอยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพและมีผลกระทบต่อสุขภาพควรหลีกเลี่ยง หรือลดเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรสวมใส่หน้ากากอนามัยขณะอยู่กลางแจ้ง

ขณะที่ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน(PM10) ตรวจพบค่าระหว่าง 61 - 146 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เกินมาตรฐานบริเวณริมถนนกาญจนาภิเษก เขตบางขุนเทียน ริมถนนพระราม 4 เขตปทุมวัน ริมถนนอินทรพิทักษ์ เขตธนบุรี ริมถนนลาดพร้าว เขตวังทองหลาง ริมถนนดินแดง เขตดินแดง ตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ตำบลทรงคนอง อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ และริมถนนคู่ขนานพระราม 2 อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ

พม.เตรียมมอบ 4 ความสุข เป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศ ภายใตแนวคิด พม.เติมสุข ทั่วไทย 2562

นางสุภัชชา สุทธิพล รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวแถลงข่าวการมอบของขวัญปีใหม่ กระทรวง พม. ประจำปี 2562 ว่าของขวัญที่กระทรวง พม. จะมอบให้ประชาชนนั้น คือ 4 ความสุข

สุขแรกคือ สุขถ้วนหน้า ที่ทุกสิทธิของคนพิการผ่านบัตรประชาชนใบเดียว เพื่อเข้ารับบริการจากหน่วยงานภาครัฐ พร้อมทั้งคงอัตราดอกเบี้ย สถานธนานุเคราะห์ ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดร้อยละ 25 สตางค์ต่อเดือน

สุขที่ 2 คือ สุขอาศัย โดยมอบบ้าน สร้างชุมชนไทยทุกคนมั่นคงเข้มแข็ง 2562 หลัง มอบบ้านปันสุขเพื่อผู้สูงอายุ 1,000 หลัง ปรับปรุงซ่อมแซมพร้อมมอบบ้านให้แก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย 76 จังหวัดทั่วประเทศ สร้างที่อยู่อาศัยผู้ประสบภัย 75 หลัง และจัดโครงการ Easy Home ซื้อง่ายจ่ายสบาย โดยลดราคาขายโครงการบ้านเอื้ออาทร 35 โครงการ ที่มีราคาขายระหว่าง 250,000 - 420,000 บาท และโครงการบ้านแลกบ้าน ให้กับลูกค้าที่ทำสัญญากับการเคหะแห่งชาติ จะจัดหาที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้า แจกฟรีค่าเหล็กดัดมุ้งลวด สำหรับลูกค้าที่ซื้ออาคารชุดโครงการบ้านเอื้ออาทรทุกโครงการ และโครงการเคหะชุมชน 4 โครงการ และแถมฟรีค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ สำหรับทุกโครงการ

สุขที่ 3 คือ สุขร่วมใจ เปิดตัวศูนย์เรียนรู้นวัตกรรม เทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ เช่น ศาสนสถานเชื่อมบุญ เกื้อหนุนคนพิการและผู้สูงอายุ หนาวนี้ที่บนดอย ตามรอยภูมิวัฒนธรรม โดยมีโปรโมชั่นพิเศษถึงช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2562 พร้อมทั้งเปิดตัวเว็บไซต์ รวมใจยุติความรุนแรง

สุขที่ 4 คือ สุขยั่งยืน โดยขับเคลื่อนเรื่อง สังคมผู้สูงอายุ เป็นวาระแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายให้ผู้สูงอายุไทยเป็น Active Ageing ร่วมพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน

ต้นแบบที่ดีในการลดและคัดแยกขยะมูลฝอยตามนโยบายรัฐบาล

นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ประชุมคณะทำงานขับเคลื่อนมาตรการลดและคัดแยกขยะมูลฝอย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ครั้งที่ 1/2561 พร้อมกล่าวว่า นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ลงนามในประกาศสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ประกาศเจตนารมณ์ในการทำความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นต้นแบบที่ดีในการลดและคัดแยกขยะมูลฝอย ซึ่งเป็นไปตามที่มติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบให้ทุกหน่วยงานภาครัฐมีการดำเนินกิจกรรมที่ส่งเสริมสนับสนุนการลดและคัดแยกขยะมูลฝอยในหน่วยงานภายใต้ “โครงการทำความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม” กิจกรรมย่อย “มาตรการลดและคัดแยกขยะมูลฝอยในหน่วยงานภาครัฐ” เพื่อให้การจัดการขยะมูลฝอยมีประสิทธิภาพและง่ายต่อการนำไปใช้ประโยชน์

กระทรวงมหาดไทย ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการขยะมูลฝอยมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระดับอำเภอ จังหวัด และระดับประเทศ โดยในส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย จัดทำแผนปฏิบัติการลดและคัดแยกขยะมูลฝอย 3 ระยะ ได้แก่ จัดทำแผนปฏิบัติการลดและคัดแยกขยะมูลฝอยในหน่วยงาน ดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้บุคลากรและประชาชนที่มาใช้บริการทราบและมีส่วนร่วมในการลด คัดแยกขยะมูลฝอย เพื่อให้มีการลด คัดแยกขยะมูลฝอยภายในแต่ละหน่วยงาน พร้อมจัดกิจกรรมส่งเสริมสนับสนุนการใช้ตะกร้า ถุงผ้า ปิ่นโต ภาชนะ หรือบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อลดการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว และการประเมินผลและสรุปผลสรุปผลการดำเนินงานในภาพรวม ซึ่งคาดว่า สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย จะเป็นต้นแบบที่ดีและขยายวงกว้างไปสู่ภาคส่วนอื่นๆ ทำให้สามารถจัดการ แก้ไข และป้องกันปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยได้ตามที่รัฐบาลมุ่งหวัง

ข้อมูลข่าวและที่มา
จำนวนผู้เข้าชม : 2033
ผู้สื่อข่าว : ธนพิชฌน์ แก้วกา
Rewriter : ธนพิชฌน์ แก้วกา
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th